อธิบดีกรมปศุสัตว์ ชี้แจงหลัง “บิ๊กตู่” เรียกพบด่วน เผย กำชับเร่งคุมระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ประชาชนต้องเดือดร้อนน้อยที่สุด โต้ปิดข่าว ด้านสัตวแพทย์ย้ำเนื้อหมูกินได้ แต้ต้องเน้นสุขอนามัย
เมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 14 ม.ค. 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ และ รศ.น.สพ.กิจจา อุไรรงค์ อาจารย์ประจำคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประมาณ 20 นาที โดยทั้งคู่ได้สวมกอดกันในลักษณะให้กำลังใจซึ่งกันและกันหลังลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้า
จากนั้น อธิบดีกรมปศุสัตว์ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีเอาใจใส่ ติดตามการแก้ปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าไปด้วยกัน โดยสั่งการว่า
1. ให้ดำเนินการควบคุมโรคให้เร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากที่สุด
2. จะต้องฟื้นฟูให้เกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย และดูว่ารัฐสามารถช่วยเหลือในเรื่องใดได้บ้าง
3. การพัฒนาวัคซีน ASF เพื่อป้องกันโรคระบาด เพราะโรคนี้เกิดขึ้นมา 100 ปี แต่ก็ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
4. แนวทางการสำรวจสุกรที่ติดเชื้อ เนื่องจากขณะนี้มีการระบุว่าสุกรที่สูญหายไปจากระบบกว่า 50% นั้นเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้นายกรัฐมนตรี สั่งการว่าจะต้องให้ทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือ เพราะกรมปศุสัตว์มีเจ้าหน้าที่น้อย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังต้องการให้ประชาชนผู้บริโภคเดือดร้อนน้อยที่สุด ทั้งนี้ ในเรื่องราคาหมูแพงต้องพูดคุยกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ว่าสามารถตรึงราคาได้แค่ไหน และ พล.อ.ประยุทธ์ รับทราบมาตลอดว่ากรมปศุสัตว์ร่วมกับมหาวิทยาลัยภาคีเครือข่ายได้ทำอะไรมาบ้างตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
...

จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวกรมปศุสัตว์ปกปิดข้อมูลเรื่องการระบาดโรค ASF นายกรัฐมนตรีได้สอบถามเรื่องนี้หรือไม่ น.สพ.สรวิศ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเข้าใจเพราะรายงานการทำงานให้ทราบตลอด โดยตั้งแต่ปี 2561 ได้เกิดโรคระบาดในจีน และเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2562 รัฐบาลยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ หากเราปกปิดจะไม่สามารถส่งหมูไปต่างประเทศได้ เช่น เวียดนาม หรือกัมพูชา เพราะเขาก็ต้องตรวจโรคเหมือนกัน ซึ่งถือเป็นคำตอบที่สำคัญ ส่วนเงินที่ขอจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ต้องทำความเข้าใจว่าเป็นเงินที่ใช้ในการฟื้นฟูเกษตรกรรายย่อยจากการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคระบาด ซึ่งเป็นไปตามหลักการระบาดวิทยาทางสัตวแพทย์ หากมีเหตุสงสัยว่าเกิดโรคระบาดชนิดใดในสัตว์ เราสามารถดำเนินการลดความเสี่ยงและรัฐบาลจะชดเชยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
ส่วนคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขีดเส้นการแก้ไขปัญหาไว้หรือไม่ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ตอบว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ขีดเส้น แต่บอกว่าให้ช่วยเหลือกันในการขับเคลื่อน เพราะโรค ASF ไม่ได้เกิดแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดใน 34 ประเทศทั่วโลก โดยในเอเชียรอบบ้านเรามีการระบาดกว่า 14 ประเทศ โดยเน้นย้ำในเรื่องการควบคุมโรคให้ดีและสงบโดยเร็ว รวมถึงสามารถทำให้เกษตรกรเดินหน้าต่อไปได้ เป็นการร่วมมือกันกับภาครัฐ เอกชน และอาจารย์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ แม้นายกรัฐมนตรีจะไม่ได้ขีดเส้น แต่ได้ถามถึงราคาสุกรและการเข้ามาของสุกรในระบบว่าใช้เวลาการดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อใด ซึ่งได้ตอบไปว่าประมาณ 8-12 เดือน
สำหรับกรณีที่ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่รู้หมูหายไปจากระบบได้อย่างไร ได้ชี้แจงนายกรัฐมนตรีถึงประเด็นนี้หรือไม่ น.สพ.สรวิศ ชี้แจงว่า ไม่ใช่ว่าหมูหายไปไหน แต่เป็นไปตามระบบของกรมปศุสัตว์ และ พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ ที่หากได้รับแจ้งว่ามีการระบาดก็จะลงไปตรวจสอบ จากนั้นจะเก็บตัวอย่างมาตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ หรือสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ ที่สามารถยืนยันผลการตรวจได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำรวจว่าสุกรที่อยู่ในระบบมีจำนวนเท่าไหร่

ต่อมาผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่เกษตรกรที่นำหมูที่ล้มตายออกไปขาย ทางด้าน รศ.น.สพ.กิจจา กล่าวว่า โรค ASF ไม่ก่อโรคในคนและสัตว์ชนิดอื่น ยังสามารถบริโภคได้ แต่ต้องเน้นในเรื่องของสุขอนามัย จึงขออย่าตระหนกและตกใจ ขณะที่ประเด็นเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรใน จ.นครปฐม บอกว่ามีการระบาดของโรคมา 2 ปีแล้วน้ัน รศ.น.สพ.กิจจา แจงว่า หากพบการระบาดของโรคแล้ว มาตรการต่อไปที่จะดำเนินการคือการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเลี้ยงสุกรให้เข้มแข็งขึ้นเหมือนเดิม แต่จะเสียหายเท่าไหร่ต้องดูการประเมินก่อน สำหรับแนวทางปัจจุบันที่ต้องทำคือ ควบคุมการระบาดให้ได้ โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการเป็นหลัก ไม่ให้เกษตรกรผู้เลี้ยง และผู้บริโภคต้องเดือดร้อน สำหรับราคาหมูปัจจุบันที่แพงขึ้น ทางรัฐบาลจะต้องจัดการอย่างเต็มที่
ส่วนต้องใช้เวลาประมาณแค่ไหนการเลี้ยงสุกรถึงจะกลับมาเหมือนเดิม อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันฟื้นฟู เบื้องต้นต้องทำการสำรวจว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงๆ เท่าไหร่แน่ ที่พูดไปว่า 60% นั้น จากตัวเลขเคลื่อนย้ายสัตว์ของกรมปศุสัตว์เสียหายไม่เกิน 20% นายกรัฐมนตรีจึงให้สำรวจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และการที่เนื้อหมูแพงไม่ได้เป็นเพราะโรคอย่างเดียว นายกรัฐมนตรีมีความเข้าใจว่าต้นทุนการผลิตหมูไม่ใช่แค่เรื่องป้องกันโรคอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ในส่วนนี้ รศ.น.สพ.กิจจา กล่าวเสริมว่า วิกฤติในปัจจุบันต้นทุนอาหารสัตว์แพงขึ้นถึง 30%
เมื่อถามว่าวงเงิน 574 ล้านบาท ที่จะเยียวยาจะไปที่กลุ่มไหนบ้าง น.สพ.สรวิศ ระบุว่า รายย่อยเท่านั้น ขอทำความเข้าใจว่าการเยียวยาดังกล่าวคือการดำเนินการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เนื่องจากตั้งแต่ 3 ส.ค. 2561 ที่เกิดโรคในจีน และภายใน 6 เดือน จีนฆ่าสุกรไป 500 ล้านตัว ในประเทศไทยมีการประชุมตั้งแต่ต้นว่าจะป้องกันอย่างไร ภาคเอกชนมีการลงขันช่วยเหลือรายย่อย ดำเนินการลดความเสี่ยง 100 ล้านบาท เมื่อเขาระดมทุนมาแล้ว เขาจึงขอภาครัฐ ซึ่งตั้งแต่รับราชการมานี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลช่วยเหลือหมูในการให้งบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่ดำเนินการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ไม่ใช่เกิดโรคแล้ว ขอย้ำตรงนี้ และโรคในสุกรหากดูภายนอกเราไม่รู้ การควบคุมโรคที่ชัดเจนคือการขจัดความเสี่ยง เพื่อให้ทันกับโรค ส่วนงบประมาณที่จะให้รายกลาง รายใหญ่ เราไม่มีให้ เพราะรัฐบาลสนับสนุนเฉพาะรายย่อย

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สอบถามถึงเกษตรกรรายย่อยที่จะกลับมาเลี้ยงใหม่จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ตรงนี้เราต้องยกระดับการเลี้ยง เมื่อก่อนรายย่อยไม่มีระบบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางชีวภาพหรือการควบคุม แต่รายใหญ่ที่เป็นฟาร์มมาตรฐานมี นายกรัฐมนตรีจึงบอกว่าต้องทำถึงระดับที่กรมปศุสัตว์ยอมรับคือ GFM ป้องกันโรคได้ ห้ามสัตว์พาหะเข้าไป มียาฆ่าเชื้อ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค กรมปศุสัตว์ได้ของบประมาณจากสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อยกระดับตรงนี้ เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยมีถึงแสนกว่าราย ส่วนใหญ่ไม่ต้องดำเนินการในส่วนนี้ และอีกอย่างที่หน่วยงานราชการจะดำเนินการคือกรมปศุสัตว์ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์ทั่วประเทศ โดยจะผลิตพันธุ์สุกรขายเกษตรกรรายย่อยในราคาถูก
เมื่อถามถึงกระแสข่าวข่มขู่เกษตรผู้เลี้ยงสุกร อธิบดีกรมปศุสัตว์ ปฏิเสธว่าไม่ทราบ ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่ายังไม่ถอดใจใช่หรือไม่ ได้รับคำตอบว่า ไม่ พร้อมกล่าวต่อว่าเพราะการทำงานที่ผ่านมาในการควบคุมโรคตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งอธิบดี เคยควบคุมโรคในม้า ในวัว ที่ตอนนี้แทบไม่มีการเกิดโรคใหม่แล้ว และเราผลิตวัคซีนเองได้แล้ว สำหรับโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู เกิดขึ้นมา 100 ปี ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีน การควบคุมโรคต้องบูรณาการร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าใจการทำงาน และให้กำลังใจ ให้ทำงานให้สำเร็จลุล่วงต่อไป