"บัญญัติ" ฟันธง ปมร้อน ชนวน รัฐธรรมนูญล้าหลัง ถูกโหมจุดไฟ งานเข้า ศาลรธน. กรณี 8 ปี ”บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ กลัวรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม พ่วงวิกฤติโควิดซ้ำ แนะ รัฐเร่งแจงสร้างความเข้าใจ ลดไฟการเมือง

วันที่ 2 ม.ค. 65 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปี 2565 ว่า สำหรับกระบวนการทางสภาฯ ในปี 2565 นอกเหนือจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะร้อนแรงมากอย่างที่ว่าแล้ว ตนคิดว่า จะมีกระบวนการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่นับเป็นความล้าหลังของรัฐธรรมนูญอยู่เป็นระยะๆ อาจจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอเข้าชื่อกันเอง หรือการเข้าชื่อของประชาชนทั่วไปซึ่งก็ทำกันอยู่แล้ว ก็น่าจะกระทำกันมากขึ้น ตนคิดว่า ประเด็นเหล่านี้จะเพิ่มเติมให้เกิดความร้อนแรงทางการเมืองได้เช่นกัน ประเด็นปัญหาของสมาชิกวุฒิสภา ที่ถูกกล่าวขานว่าเกินอำนาจที่พึงมีของระบอบประชาธิปไตย ประเด็นเหล่านี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาท้าทายความคิดอ่านของสมาชิกรัฐสภาอีกครั้ง ซึ่งตรงนี้น่าเสียดายเพราะหากคราวที่แล้ว เราปล่อยให้รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสนอยกร่างใหม่โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ให้เดินไปตามจังหวะ นอกจากจะเป็นการคลี่คลายความอึดอัดตรงนี้แล้ว ยังเป็นการดึงนำคนหลายกลุ่มเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.ร. อาจจะเป็นหนทางหนึ่งของการสมานฉันท์ทางการเมืองซึ่งเป็นจุดที่นับวัน จะจำเป็นมากขึ้นกับประเทศเรา แต่กลับถูกคว่ำไป ทำให้ปัญหาคาราคาซังอยู่และจะมีคนจุดชนวนขึ้นอีก

“แต่ประเด็นที่ใหญ่ที่ร้อนมากที่สุดซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความร้อนแรงทั้งในสภาและบนท้องถนน รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญงานจะเข้าด้วย เพราะการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของนายกรัฐมนตรี มันสิ้นสุดลงตรงไหน ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไปเขียนบัญญัติไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ครั้งนี้จะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ก็ได้ หมายความว่า คนๆ หนึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรี สรุปนับรวมกันเกิน 8 ปี ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแล้วหยุดหรือหยุดแล้วเป็นก็แล้วแต่ นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติในบทเฉพาะกาลรับรองเอาไว้ว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นนี้เคยมีนักวิชาการตีความไว้ด้วยว่า อย่างนี้ต้องนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2557 ว่า ไม่ได้เป็นตามรัฐธรรมนูญนี้ แต่เมื่อมีบทบัญญัติบอกว่าให้ถือเป็นการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญนี้ อย่างนี้ก็น่าจะครบกำหนด 8 ปีในเดือนสิงหาคมปี พ.ศ. 2565 เพราะฉะนั้นเมื่อใกล้เดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2565 ผมมั่นใจว่าคงจะมีคนหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาถามหาความถูกต้องเป็นจริงกันอีกครั้ง ตรงนี้จึงบอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะงานเข้าอีก เพราะว่าหนีไม่พ้นที่จะต้องวินิจฉัยว่าตกลงนับหนึ่งเมื่อไหร่ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เมื่อนายกฯ เข้ามารับตำแหน่งครั้งแรก หรือนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2560 หรือจะนับจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญนี้ในปี พ.ศ. 2562 ตั้งแต่วันโปรดเกล้าฯ แต่ทั้งนี้ จะเป็นประเด็นร้อนทั้งในศาลรัฐธรรมนูญในรัฐสภาและทั้งบนถนนที่มีการชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีกันอยู่แล้ว ซึ่งบทสรุปที่เขียนไว้เช่นนี้คงเขียนเพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่มีอำนาจนานจะลืมตัวมัวเมาอำนาจและใช้อำนาจในทางที่เสียหาย ทั้งหมดนี้จะเป็นบรรยากาศของความร้อนสุดๆ ทางการเมืองก็ว่าได้

...



นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นที่คิดว่าจะอยู่ให้ครบเทอมครบวาระ ก็ไม่แน่ว่าจะพ้นปี 2565 ได้หรือไม่ ยิ่งประเด็นความขัดแย้งในแต่ละที่แต่ละแห่งการช่วงชิงได้รับความเสียเปรียบในระหว่างกันเองที่มักจะปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ จะเพิ่มความร้อนแรงได้เช่นกัน ถ้ารัฐบาลไม่สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก โควิด-19 ให้ได้ด้วย ซึ่งที่แล้วมาก็ถือว่าดีพอสมควรจากความเข้มแข็งของบุคลากรสาธารณสุขประเทศเรา แต่เมื่อมีเชื้อตัวใหม่อย่างโอมิครอนเข้ามาจะเป็นอย่างไรอีก ถ้าเอาไม่อยู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มันมีอยู่แล้วมันก็จะแรงเข้าไปอีก คนตกงานมากกว่าเดิม คนลำบากมากขึ้นไปอีกเหล่านี้จะมีส่วนเติมความเร่าร้อนให้การเมืองได้ทั้งหมด ส่วนที่รัฐบาลออกโครงการแจกเงินเข้าแอปทั้งหลายนั้น คนก็เป็นห่วงมากเช่นกัน แต่ก็เห็นใจรัฐบาล เมื่อเศรษฐกิจมันซบเซา การจะดำเนินการให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน แต่ที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ก็คือพอหมุนเวียนหมดก็จบไป เป็นไปได้หรือไม่ว่า การใช้เงินเหล่านี้ถ้าใช้ไปในลักษณะสร้างงานใหม่ที่พอเหมาะพอควรตามความสามารถของแต่ละบุคคลมันจะยั่งยืนถาวรกว่าหรือไม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ง่ายจริงๆ และหลายคนก็พูดถึงระบบเศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 กันอยู่ ว่า การรู้ตัวเอง รู้จักพอประมาณ รู้จักมีเหตุมีผล กับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีคนใช้ ซึ่งบางครั้งก็มองได้เหมือนกันว่า ยังส่งเสริมให้มีการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยกันหรือไม่ เคยมีเท่านี้ไม่อยากใช้แต่เมื่อเรามีเงินมาสมทบให้ครึ่งหนึ่ง ก็ยั่วใจให้ใช้จ่าย การใช้จ่ายเช่นนี้มันเข้าลักษณะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยหรือไม่ และเป็นการเพิ่มหนี้ในส่วนของตน และในส่วนของครัวเรือนซึ่งจำนวนหนี้ครัวเรือน ขณะนี้ก็สูงถึงร้อยละ 90 เข้าไปแล้ว และก็เป็นเรื่องที่บรรดา ครูอาจารย์ทั้งหลายทางเศรษฐศาสตร์หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจของบ้านเมืองกำลังวิตกเป็นทุกข์กันอยู่ ว่าทั้งหนี้สาธารณะก็สูงที่อาจจะต้องขยายเพดานการกู้ หรือทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก เราไม่คิดที่จะก่อให้เกิดความยับยั้งช่างใจกันบ้างหรือ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็จะเป็นส่วนสนับสนุนให้ปี 2565 เป็นปีที่น่ากลัวอีกเช่นกัน

เมื่อถามถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายมองว่า หากมีการยุบพรรคก้าวไกล จากกรณีเข้าข่ายสนับสนุนให้มีการล้มล้างการปกครอง จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่า ตรงนี้คือสิ่งที่เรียกว่า การช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ซึ่งจะเป็นตัวเติมความร้อนแรงให้กับการเมืองในปี พ.ศ. 2565 เพราะทุกวันนี้เราก็เห็นอยู่แล้วว่าอะไรที่เปิดช่องน่าจะตีความกฎหมายไปทางนั้นได้ ซึ่งจะตีได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ยกมาดำเนินการให้เป็นเรื่องเป็นราว ภาครัฐเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องขยันสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย ปล่อยให้ตีความกันเอาเองอยู่เรื่อยๆ เป็นการเติมความร้อนให้ทางการเมือง อย่างไม่จบไม่สิ้น และที่คิดว่าสำคัญมากจะเรียกว่า เป็นการตลาดนำการเมืองก็ได้ คือการใส่สีสันเข้าไปให้ดูตื่นเต้น น่าตกใจ และหลายเรื่องมันก็จบแบบไม่เป็นไปอย่างที่ว่า แต่ก็ยังนิยมทำกันอยู่ กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่องค์กรอิสระ ไม่ขยันทำความเข้าใจกับผู้คนแล้ว บางทีจะทำให้ผู้คนเขารำคาญการเมืองได้เช่นกันว่าอะไรกันมากมายไม่จบไม่สิ้น

“ในประชาธิปไตยถ้าเราทำให้คนเขาเบื่อรำคาญก็เป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลต่อระบอบประชาธิปไตย ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเรียกร้องให้ประชาชนมีความหนักแน่นด้วยเหมือนกัน ว่าเวลาที่นักการเมืองเขาทะเลาะกันอย่าเพิ่งรำคาญฟังให้ชัดๆ ซะก่อนว่า ที่เขาทำมีเหตุมีผลอย่างไร ทำเพื่อการตลาดนำการเมืองหรือ ทำไปด้วยความสุจริตใจเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ อย่าเพิ่งรำคาญตั้งแต่ต้น เพราะว่า ถ้ารำคาญกันมากๆ ก็พาลจะเบื่อประชาธิปไตย” นายบัญญัติ กล่าว.