เพื่อไทย ห่วง "บิ๊กตู่" ยิ่งอยู่นานคนจนยิ่งเพิ่ม ชี้ ตลอด 7 ปี คนจนเพิ่มหลายล้านคน และจะจนเพิ่มกันอีก แนะ สร้างธุรกิจใหม่ สร้างงาน เพิ่มรายได้ ไม่ใช่คิดแค่แจกเงิน
วันที่ 2 ธ.ค. นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ แถลงว่า คนจนไทยในปี 2563 เพิ่มขึ้นเพียง 5 แสนคน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดทั้งที่เศรษฐกิจไทยทรุดหนักถึง -6.1% โดยอ้างว่าเป็นเพราะมาตรการแจกเงินของรัฐบาลทำให้คนจนน้อยกว่าที่คาดไว้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นหลักคิดที่ถูกต้อง อีกทั้งน่าจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นในระยะยาว เพราะการแจกเงินเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แนวคิดที่ถูกต้อง คือ ต้องสร้างงาน ซึ่งเป็นปัญหาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศหลังการรัฐประหาร เพราะการลงทุนหดหายมาโดยตลอด จึงทำให้การจ้างงานลดลง นอกจากนี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำเตี้ยมาตลอด 7 ปี ก็ทำให้การจ้างงานลดลงไปด้วย และเมื่อมาเจอวิกฤตไวรัสโควิดทำให้เศรษฐกิจทรุดหนัก ทำให้การว่างงานยิ่งพุ่งมากขึ้น
...
นายพชร กล่าวต่อว่า หากมองย้อนหลังจะพบว่า ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ เข้าบริหารประเทศคนจนของไทยเพิ่มมาตลอด โดยในปี 2558-2561 เวิลด์แบงก์ หรือ ธนาคารโลก เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยตลอด 30 ปี คนจนลดลงมาตลอดแต่หลังจากการทำรัฐประหารคนจนไทยกลับเพิ่มขึ้น 1,850,000 คน จาก 4,850,000 คน เป็น 6,700,000 คน หรือ เพิ่มจาก 7.2% เป็น 9.8% นอกจากนี้ สภาพัฒน์เอง โดย อดีตเลขาสภาพัฒน์คนที่แล้ว นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ก็เคยแถลงว่า ปี 2560-2563 ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นมาก และล่าสุดธนาคารโลก เปิดเผยว่าในช่วงโควิด ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านคน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศคนจนกลับเพิ่มขึ้นมากมาตลอดตั้งแต่ก่อนที่จะมีวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดแล้ว ไม่ได้ทำให้คนจนหมดไปเหมือนที่เคยโฆษณาไว้แต่อย่างใด
กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นถึง 870,000 ราย หรือ 2.25% ซึ่งสูงสุดในรอบ 20 ปี และยังมีแนวโน้มที่การว่างงานจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งนักศึกษาจบใหม่จะไม่มีงานทำไปอีกหลายปี จะยิ่งทำให้คนจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จากโพลสำรวจพบว่า คนไทยยังมีหนี้เฉลี่ยครอบครัวละ 1.24 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระหนักมาก และยังไม่มีแนวทางที่จะหารายได้มาใช้หนี้ได้อย่างไร ปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้จะยิ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในอนาคต ซึ่งไม่แน่ใจว่าพลเอกประยุทธ์จะเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากว่ายังไม่รู้ปัญหาแล้วจะหาทางแก้ไขได้อย่างไร
ทั้งนี้ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้เตือนพลเอกประยุทธ์ หลายครั้งแล้วว่า การแจกเงินจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนพลเอกประยุทธ์จะไม่เข้าใจ หรืออาจจะคิดได้เพียงการแจกเงินเท่านั้น ขนาดยังเชื่อว่าคนจนไม่เพิ่มมากเพราะมาจากการแจกเงิน แล้วอย่างนี้ไม่ต้องแจกกันไปตลอดชาติหรือ และ ด้วยสภาวะการคลังที่ทรุดหนัก หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นสูงทะลุเกินเพดานนี้ รัฐบาลจะแจกเงินไปได้นานอีกเท่าไหร่ ขนาดนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง คนปัจจุบันยังต้องออกมาบอกว่ารัฐบาลต้องลดการแจกเงินลงได้แล้ว และต้องหาทางฟื้นเศรษฐกิจ
แนวทางที่ถูกต้องคือ ต้องเร่งการสร้างงาน โดยการสร้างธุรกิจใหม่ๆ โดยปัจจุบันยังไม่เห็นเลยว่าอะไรที่จะเป็นอนาคตของประเทศไทย ที่จะขับเคลื่อนประเทศทดแทนธุรกิจเก่าๆที่เริ่มถดถอยลงแล้ว คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเชื่อว่า การต้องสร้างธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เกิดขึ้น และต้องแก้ปัญหา ในระยะสั้นเรื่องแรกที่ทำได้เลยคือ การตั้งศูนย์กลาง Reskill UpSkill โดย Skill สามารถมีทั้ง ออนไลน์ และ ออฟไลน์ ที่จำเป็นต้องใช้ด่วน เช่น การท่องเที่ยว ห้องอาหาร โรงแรม งานช่าง ให้ประชาชนเข้าถึง เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ พร้อมให้ รางวัลจากการได้พัฒนาแรงงาน แทนที่จะไปจ่ายคนให้ไปเที่ยวสะเปะสะปะ
"ระยะกลางควรส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีประเภทดิจิทัล แทนที่จะมุ่งอยู่ในประเทศ โดยรัฐบาลให้เงินงบประมาณที่ละแสนสองแสนบาทผ่าน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว) ซึ่งเหมือนเป็นการด้อยค่าในความคิดของพวกเขา พรรคเพื่อไทยจะไปตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกิจ (Incubator Offices) ตาม เมืองศูนย์กลางการเงินหลักๆ เช่น เสินเจิ้น สิงคโปร์ ซิลิคอนวัลเลย์ นิวยอร์ก และมุมไบ หาคนทำงานที่เก่ง และมีวิสัยทัศน์ และสร้าง เครือข่าย เพื่อพาผู้คิดค้น และก่อตั้งบริษัท สตาร์ทอัพต่างๆ และไปหาทุน เพื่อพิสูจน์ความสามารถ ขยายโอกาส และสร้างตลาด มิเช่นนั้นหากทำไปเรื่อยๆ แบบที่เป็นอยู่นี้ ขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยจะมีแต่หดตัวลงไปเรื่อยๆ อย่าไปหวังจะเป็นไปได้อย่างในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่ใหม่ๆจำนวนมาก ซึ่งหากทำสำเร็จบัตรคนจนของไทยจะได้หมดไป โดยจะกลายเป็นบัตรคนไทยที่เท่าเทียมและภาคภูมิแทน" นายพชร กล่าว...