“มหาดไทยคือกระทรวงแก้ความยากจนลดความเหลื่อมล้ำไม่ใช่กระทรวงเศรษฐกิจ”

ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ย้ำว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรเพื่อการพัฒนาแต่ขาด “ความเข้าใจที่ถูกต้อง” เรื่องต่อไปนี้หลายๆคนก็รู้ หลายๆคนก็คงเคยได้ยินกันมาบ้าง

ไม่ว่าจะเป็นประเด็น “ประเทศไทย” มีทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรอื่นๆ เพื่อการพัฒนามาก...มากกว่าสิงคโปร์...มากกว่าญี่ปุ่น... มากกว่าสวิตเซอร์แลนด์ ควรที่คนไทยทุกคนพออยู่พอกินอย่างทั่วถึงและมีไมตรีจิตต่อกัน แต่กลายเป็นว่ามี... “คนจน” ทั้ง “คนจนชนบท” และ “คนจนเมือง” จำนวนมาก

...มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นที่หนึ่งหรือที่สามในโลกทำให้เกิดปัญหา...ทางสังคม เศรษฐกิจ จิตใจ การเมือง ตามมาอีกเป็นพรวน

เงื่อนปมปัญหาเหล่านี้ถักทอกันเป็นปัญหาที่ซับซ้อน อันไม่มีใครเข้าใจและแก้ไขได้ กลายเป็นวิกฤตการณ์เรื้อรังที่ไม่มีทางออก ทั้งนี้ เพราะขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง

เมื่อรู้เหตุสำคัญแห่งปัญหาแล้ว หากจะคลี่คลายแก้เงื่อนปัญหาก็ต้องใช้ “ความเข้าใจที่ถูกต้อง” ซึ่งมีพลังมากและเป็นกุญแจแก้วิกฤติ

...

คราวนี้มาถึงประเด็นที่เกริ่นไปแล้วตั้งแต่ต้น ทำไม? กระทรวงเศรษฐกิจจึงแก้ความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำไม่ได้...ความเข้าใจผิดคือคิดว่าการพัฒนาเศรษฐกิจกับการแก้ความยากจนเป็นเรื่องเดียวกัน

“กระทรวงที่เรียกกันว่าเป็นกระทรวงทางเศรษฐกิจและถือว่าเป็นกระทรวงเกรดเอ คือกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง เพราะเป็นกระทรวงที่เกี่ยวกับเงินทอง มีงบประมาณมาก และสามารถจะแก้ความยากจนได้” ประเวศ ว่า

“รัฐบาล”...ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาก็ถือว่าการแก้ความยากจนเป็นเรื่องสำคัญ และทุ่มเทงบประมาณมากมาย แต่ก็แก้ไม่ได้ ความเหลื่อมล้ำกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถามว่าทำไม? เพราะระบบเศรษฐกิจอยู่บนฐาน “ทุน”...แม้ “ทุน” จำเป็นเพราะทำให้ทำเรื่องใหญ่ๆได้ แต่ธรรมชาติของทุนทำให้รายได้ที่มาจากทุนสูงกว่ารายได้ที่มาจากการทำงานหรือทำมาหากิน

...เรื่องนี้ดูได้จากการวิจัยของ Thomas Picketty ในหนังสือของเขาชื่อ The Capital

ฉะนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานทุน เมื่อพัฒนาไปๆ ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งมากขึ้นๆจนเหลื่อมล้ำอย่างสุดๆ ที่เรียกปรากฏการณ์ 99 : 1 อย่างในสหรัฐอเมริกา

แล้วก็มาถึงประเด็น ทำไม? “กระทรวงมหาดไทย” จึงเป็นกระทรวงแก้จนลดความเหลื่อมล้ำ

“กุญแจ” แก้ความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ อยู่ที่ “Empowering” หรือ...เพิ่มศักยภาพของประชาชน “ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น” คือเครื่องมือแก้ความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง คือวิธีการสร้างสังคมสันติสุข

“กระทรวงมหาดไทยคือกระทรวงที่ดูแลพื้นที่ทั้งหมด ทั้งชุมชน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด จึงอยู่ในฐานะที่จะส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดอย่างบูรณาการโดยเอาชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้งได้ดีที่สุด อันจะนำไปสู่การสร้างสังคมสันติสุข”

ประเวศ บอกอีกว่า กระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงอื่นๆก็ใช่ว่าจะไม่สำคัญหรือไม่มีบทบาท แต่ต้องจับให้ได้ว่าตัวตั้งคือ...ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง คือกุญแจแก้จนลดความเหลื่อมล้ำ หรือหัวใจของการพัฒนา... การพัฒนาทุกมิติจึงต้องเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง

และที่สำคัญคือเชื่อมโยงระหว่างกันกลายเป็นรูปธรรมจักรแห่งการแก้จนลดความเหลื่อมล้ำนั่นก็คือ...เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สุขภาพ การศึกษา ประชาธิปไตย

กระทรวงมหาดไทย” เป็นกระทรวงใหญ่มีบุคลากรที่ผ่านการปฏิบัติจริงในพื้นที่ เช่น เป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ขึ้นมาเป็นลำดับ จึงสัมผัสอยู่กับความเป็นจริง มีผู้นำ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เก่งๆจำนวนมาก จึงอยู่ในฐานะที่ดีที่สุดที่จะเป็นผู้เชื่อมประสานการพัฒนา หรือขับเคลื่อนธรรมจักรแก้จนลดความเหลื่อมล้ำ

หรือที่จริงอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ธรรมจักรแห่งสังคมสันติสุข”

“หากมีความเข้าใจถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ยากเลย และถ้าร่วมกันสร้างสังคมสันติสุขสำเร็จ ทุกอย่างจะลงตัวรวมทั้งการเมือง...คนไทยจะรักกันมาก”

อีกเรื่องที่ต้องเน้นย้ำคือองค์ประกอบสำคัญยิ่งยวดของ “ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง”

“แน่นอนว่าการทำอะไรๆมักมีองค์ประกอบหรือเรื่องที่ควรทำหลายอย่าง แต่มีองค์ประกอบจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวด...ถ้าขาดถึงทำอย่างอื่นๆทั้งหมดก็จะไม่ได้ผล”

ข้างต้นนี้เป็นหลักคิดอย่างหนึ่งที่ควรเข้าใจ

เอาล่ะครับ...มาเริ่มทำความเข้าใจกัน “การพัฒนาชนบท” นั้นมีองค์ประกอบอยู่ 8 อย่าง...โดยมี 3 อย่าง ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งยวด คือ องค์กรจัดการ, ความรู้, การเรียนรู้

การพัฒนามักเริ่มต้นด้วยโครงสร้างทางกายภาพ เช่น ที่ดิน แหล่งน้ำ ถนน ไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งสำคัญ แต่ถ้าขาดองค์ประกอบสำคัญยิ่งยวดก็จะไม่สำเร็จ การเงินชุมชน...ก็เช่นเดียวกัน

ย้ำว่า...องค์ประกอบสำคัญยิ่งยวดซึ่งคล้องกันอยู่คือ...มีองค์กรจัดการ...ต้องใช้ความรู้ เช่น ข้อมูล ความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ และ...การเรียนรู้ที่ต้องแยกระหว่างความรู้กับการเรียนรู้

“ถ้ามีความรู้ แต่ไม่มีการเรียนรู้ ก็ยังไม่เกิดความเข้มแข็ง”

การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง...เป็น องค์กรจัดการที่มีสมรรถนะสูง

พลังที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ฝันในอากาศ ทำได้ด้วยสิ่งที่เรามี อาศัย “เบญจภาคี” ที่ประกอบด้วย 3 กรมของ “กระทรวงมหาดไทย” ที่ได้ลงมือปฏิบัติกันไปแล้ว ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น...กรมพัฒนาชุมชน...กรมการปกครอง บวกกับอีกสองภาคี พอช. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, สสส. แผนสุขภาวะชุมชนเติมเต็มกัน

การพัฒนา “อำเภอ” อย่างบูรณาการ โดยมี “ชุมชนท้องถิ่น” เป็นตัวตั้ง แต่ละอำเภอมีประมาณ 10 ตำบล 100 หมู่บ้าน ทั้งประเทศมี 800 กว่าอำเภอ การจะมีนายอำเภอดีๆ 800-900 คนนั้นไม่ใช่ของยาก

นายอำเภอสามารถสร้างเครือข่ายต่างๆขึ้นมาเต็มอำเภอ เช่น เครือข่ายครู เครือข่ายพระ เครือข่ายศิลปิน เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน เครือข่ายนักธุรกิจ “นอภ.”...จึงเป็น... “นักอำนวยภูมิพลัง”

“คนไทยพึงเห็นการถักทอพลังบวกบนแผ่นดินไทยที่กำลังก่อตัว...ขยายตัว ลดพื้นที่แห่งความแตกแยกลงไปเรื่อยๆ จนคนไทยสามารถร่วมกันสร้างประเทศไทยที่น่าอยู่ที่สุด”

วิกฤติประเทศไทย...ขาดการออกแบบระบบและการจัดการที่ดี ติดกับอยู่ในวิธีคิดว่าดีชั่วเป็นกรรมส่วนบุคคล ไม่เข้าใจว่าระบบและโครงสร้างกำหนดพฤติกรรมของบุคคลและองค์กร จึงทะเลาะและขัดแย้งกันสูง...สภาวะวิกฤติเรื้อรังทำให้หมดศรัทธาว่าความดีมีจริง แต่ยิ่งโกรธเคืองชิงชังกันมากขึ้น...ยิ่งออกจากวิกฤติไม่ได้

“คนไทย” ต้องมีความฝันใหญ่ว่า...เราสามารถสร้าง “ประเทศไทยสันติสุข” ได้.