ชัยธวัช ชี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญส่งผลต่ออนาคตประเทศไทย อาจจุดระเบิดทางสังคม ซัดผู้มีอำนาจ “อย่ามองอนาคตของชาติเป็นศัตรู” ย้ำไม่หวั่นยุบพรรคก้าวไกล ชี้ ทำตามกรอบและสิทธิตามรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ที่อาคารรัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล นำทีมส.ส.พรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีที่ นายณฐพร โตประยูร เดินหน้ายื่นคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยอ้างอิงจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยว่า ตัดสิน 3 แกนนำราษฎร คือ นายอานนท์ นำภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง และ น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองที่มีผลผูกพันต่อองค์กรทางการเมืองที่เกี่ยวข้องนั้น

นายชัยธวัช กล่าวว่า หลังจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ (10 พ.ย. 64) เเละนายณฐพร โตประยูร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า จะเดินหน้านำหลักฐานยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณายุบพรรคก้าวไกล ที่เข่าข่ายล้มล้างการปกครองนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจส่งผลให้ถูกวิพากษ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในข้อกฎหมาย รวมไปถึงการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ถูกวินิจฉัยว่าล้มล้างการปกครองเป็นการกระทำเเบบใดบ้าง ซึ่งไม่ดีต่อสังคมระบอบประชาธิปไตยเลย

พรรคก้าวไกล เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะส่งผลให้การหาทางคลี่คลายทางการเมืองในปัจจุบันนี้ยิ่งแคบลง เพราะหลังจากนี้รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม จะนำเอาคำวินิจฉัยนี้ไปเป็นฐานในการกล่าวหาโจมตีการเเสดงออกของประชาชนและเยาวชนจำนวนมากแบบเหมารวมว่า เป็นขบวนการล้มล้างการปกครอง และอาจเกิดการขีดเส้นแบ่งทางการเมืองแบบสุดขั้ว รุนแรงขึ้น ระหว่างขบวนการล้มล้างการปกครองปีกหนึ่ง กับอีกขั้วหนึ่งปกป้องระบอบการปกครอง ซึ่งพรรคเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา นอกจากนั้นกระบวนการยุติธรรมจะถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางและรุนแรงขึ้นกว่าปัจจุบันว่ามีการบังคับใช้กฎหมายอย่างบิดเบือนกับคดีทางการเมืองหรือไม่

...

“พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า การคลี่คลายปัญหาความเห็นแตกต่างทางเมืองในปัจจุบัน ต้องอาศัยการเปิดความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจแห่งยุคสมัยอย่างถูกต้อง อย่ามองว่านี่เป็นภัยของชาติ อย่ามองอนาคตของชาติเป็นศัตรู และต้องพยายามแสวงหากุศโลบายที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ให้ได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้จะยิ่งทำให้สังคมไทยหนีห่างออกจากเส้นทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะส่งผลให้เกิดความรุนแรงในสังคมได้ในอนาคต ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นศาลรัฐธรรมนูญและเครือข่าย ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ” นายชัยธวัช กล่าว

ส่วนข้อกล่าวหาในการยุบพรรคก้าวไกล ทั้งในกรณี ส.ส.ของพรรคไปร่วมสังเกตการณ์ชุมนุมทางการเมือง และใช้หลักทรัพย์ประกันตัวช่วยเหลือผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีทางการเมือง รวมถึงการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาฐานความผิดหมิ่นประมาท รวมทั้งมาตรา 112 ก็ตาม พรรคก้าวไกลยังยืนยันว่า ไม่เข้าเหตุในการยุบพรรค เพราะเป็นการใช้สิทธิ์และทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ที่ดีของประชาชน เป็นการประกันสิทธิเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า หากการไปประกันตัวผู้ที่ถูกกล่าวตามคดีมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครอง หลังจากนี้สังคมไทยต้องระบุให้ชัดเจนว่า ข้อหาไหนบ้างต้องไม่ได้รับสิทธิ์การประกันตัวโดยเด็ดขาด เพราะถือเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ปัจจุบันไม่ว่าประชาชนจะถูกเเจ้งข้อกล่าวหาใดก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมที่จะได้รับการประกันตัวออกมาจนกว่าจะมีคำพิพากษาไปถึงที่สุด และการเสนอกฎหมายก็เป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภานิติบัญญัติในระบบปกติอยู่แล้ว ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นการกล่าวหาเท็จ และมีเจตนาที่จะทำลายล้างทางการเมือง

ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่กังวลต่อการยุบพรรค แต่ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมองว่าสังคมไทยก็ต้องเตรียมตัวเช่นกัน ต้องไม่อนุญาตให้ยุบพรรคการเมืองด้วยเหตุจูงใจเป็นเรื่องปกติ เพราะถ้ากระบวนการทางยุติธรรมทางการเมืองยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าจะเป็นระเบิดลูกใหญ่ในอนาคตต่อสังคมไทย เป็นคำถามว่าสังคมไทยจะเตรียมตัวยังไง และใครจะต้องเป็นคนรับผิดชอบของการกระทำนั่นในอนาคต

“เราจะต่อสู้อย่างถึงที่สุดไม่ว่าจะมีแรงเสียดทานอย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลยังยืนยันที่จะต่อต้านการปกครองของเผด็จการคณะรัฐประหาร และฝ่ายอนุรักษนิยม และเรายืนยันที่จะสู้เพื่อพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของประชาชน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการสร้างชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ หากเราถอยห่างจากหลักการแบบนี้ ก็คงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมีพรรคการเมืองอย่างพวกเราอยู่ เรายืนยันที่จะต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว.