“ผมพอแล้ว” ประโยคทองที่จารึกในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นคำพูดจากปากของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บอกปัดเก้าอี้นายกฯสมัยที่ 6 ยุติการทำหน้าที่ผู้นำประเทศไว้แค่ 8 ปี
ก่อนเปลี่ยนเส้นทางสู่ตำแหน่ง “รัฐบุรุษ” คนที่สองของประเทศไทย ย้อนประวัติศาสตร์เตือนความทรงจำในห้วงที่ทหารเฒ่ารุ่นน้องอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม กำลังเดินมาถึง “ทางสองแพร่ง” จะลุ้นตามรอยเส้นทาง “รัฐบุรุษ” หรือเลือกไปต่อบนโค้งอันตรายทางการเมือง เสี่ยงอยู่บนหลังเสือ ตกลงมาแบบบอบช้ำ
ตามจังหวะที่ “บันไดมาตรา 158” ของรัฐธรรมนูญ พาดออกมา ตามสัญญาณจากคนดังๆ อย่างนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ แนวร่วมฝ่ายหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เปิดหน้าออกมากระตุกขากางเกงกันตรงๆ ปูทางลงนุ่มๆให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงหลังเสือในช่วงที่ฟ้ายังเปิด
ท่ามกลางฉากสถานการณ์ที่ผู้นำทหารเฒ่า 3 ป. กำลังคึกคัก หัวเราะร่าอยู่ในวงล้อมของนักการเมืองอาชีพที่เคยตั้งแง่รังเกียจเดียดฉันท์ วันนี้คลุกฝุ่น ลุยโคลน เกลือกกลั้ว ทั้ง “สันติ พร้อมพัฒน์-สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สุชาติ ชมกลิ่น-ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์”
ลงทุนระดับนี้ พล.อ.ประยุทธ์ “ตื๊อ” ลากเกมอำนาจไปต่อแน่ และก็ชัวร์ เมื่อ “บิ๊กตู่” เลือกไปต่อในเกมอำนาจ ก็จำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียน “ชั้นอนุบาล” ของนักเลือกตั้งอาชีพ ต้องมีต้นทุนทางการเมือง มีรายจ่ายทุกช็อตทุกนาที
เมื่อใช้นักการเมืองช่วยรองฐานอำนาจ มันไม่มีของฟรี จอมเขี้ยวระดับ “สมศักดิ์-สุริยะ” คงไม่ได้ออกแรงเปล่าๆ โดยไม่หวังเก้าอี้ รมว.พลังงานที่ก๊วนสามมิตรหมายปอง ตีตราจองไว้ หรืออย่างน้อยก็ต้องมีของมูลค่าทัดเทียมกันมาทดแทน
...
ที่แสบไม่แพ้กันก็ยี่ห้อ “สันติ พร้อมพัฒน์” ที่ลงทุนหักดิบกลุ่มกบฏ จนเกือบโดนต่อยต่อหน้า “ลุงป้อม” โดน “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แถลงด่าไอ้ห้อยไอ้โหน จดรอยแค้นลงบัญชีจำนาน
เสี่ยงล่อบาทาแบบนี้มีหรือที่ “สันติ” จะถวายหัวให้ “บิ๊กตู่” สู้ฟรีๆ สไตล์นักเลือกตั้งอาชีพ มันต้องมีการเรียกสินน้ำใจกันตามฟอร์ม
เว้นแต่จะเล่นใหญ่ เรียกค่าเหนื่อยแพงโอเวอร์จนสะเทือนยุทธศาสตร์ประเทศ ตามกระแสข่าวความเคลื่อนไหวใหญ่ สภาอุตสาหกรรมฯ เครือข่ายนิคมอุตสาหกรรม ขุมข่ายธุรกิจ นักลงทุนภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี ร่อนหนังสือร้องเรียนตรงต่อนายกรัฐมนตรี
สกัดเกมฮุบท่อน้ำดิบ ล็อกสัมปทานท่อส่งน้ำภาคตะวันออก กลิ่นเหม็นจนโชยออกเป็นข่าวประจานกับปฏิบัติการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ชิงปิดกล่อง บีบสเปกให้เอกชนที่แปะชื่อบนข้างฝาไว้แล้ว ได้ฟันเค้กก้อนใหญ่ เล่นกันแบบไม่สนกระแส ไม่แคร์สื่อ ลุยกันทื่อๆแบบที่อธิบดีกรมธนารักษ์คนเก่าเกษียณเดือนกันยายน แต่รับข้อเสนอราคาเอกชนวันที่ 28 กันยายน ตัดจบวันที่ 29 กันยายน
รีบทิ้งทวนกันวันสุดท้ายเกษียณ ดันตัวเต็งเข้าป้ายสำเร็จ ตั้งแท่นรออธิบดีกรมธนารักษ์คนใหม่เซ็นอนุมัติปิดจ๊อบ
แต่ปมยังไม่จบง่ายๆเพราะมีการฟ้องศาลปกครองคุ้มครอง และปมป่วนสัมปทานท่อน้ำดิบอีอีซีอยู่ในสายตาของ “สันติ พร้อมพัฒน์” ในฐานะ รมช.คลัง ประธานบอร์ดจัดการที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ นั่งเอ้เต้อยู่หัวโต๊ะกำกับเกมพิจารณา ตามข่าวมีปมวุ่นวาย ถึงขั้นมีคนไขก๊อกกลางวง เพราะไม่พอใจโผล็อก ทำขาใหญ่เจ้าเดิมตกเวที
มันหนีไม่พ้นถูกตั้งแง่มี “เงินทอน” ใส่มือใครบางคน แต่ ณ จุดที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังเป็นโอกาสที่ “บิ๊กตู่” จะได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นทองแท้มือสะอาด ซื่อสัตย์ สกัดธุรกิจการเมือง เครดิตต้นทุนหน้าตักกองสุดท้าย
เหนืออื่นใด เรื่องน้ำอีอีซีถือเป็นอภิมหาโปรเจกต์ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ โครงการเรือธงของประเทศไทย ที่ผ่านมาปัญหาน้ำขาดๆเกินๆทำนักลงทุนไม่มั่นใจในระบบผูกขาด
หนทางที่ดีสุดเลยก็คือนายกฯต้อง “กำกับเกม” เองเพื่อความมั่นใจ จำเป็นต้องเปิดกว้างให้ประมูลกันอย่างโปร่งใส เพราะตามข่าว เอกชนยักษ์ใหญ่หลายเจ้าที่มีศักยภาพ ทั้งเครือเอสซีจี กลุ่มอมตะ ฯลฯ พร้อมร่วมประมูลสัมปทานจัดการน้ำอีอีซี
ยังมีโอกาสทำให้เกิดมาตรฐานเป็นธรรม ไม่เสี่ยงให้ “เงินทอน” อยู่ในมือไอ้โม่ง ยิ่งในจังหวะคาบลูกคาบดอก กลิ่นยุบสภาโชย นักเลือกตั้งอาชีพลุยถอนทุนกันครึกโครม ลุยทุบข้าราชการ บีบหน้าดำหน้าเขียว แบบที่อธิบดีทางหลวงชนบทต้องไขก๊อกหลังโดนสั่งย้าย ล่าสุดเป็นคิวของอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ไขก๊อก หนีใบสั่งการเมือง ถอนทุนเลือกตั้ง ทำให้ข้าราชการเสี่ยงคุกตะราง
เงื่อนไขท้าทายทองแท้ “บิ๊กตู่” ผู้ซื่อสัตย์ ต้องพิทักษ์ต้นทุนหน้าตักกองสุดท้าย จะยอมทุกอย่าง แค่หวังไปต่ออย่างเดียวคงไม่ได้.
ทีมข่าวการเมือง