"อันวาร์" ปูดกลิ่นปฏิวัติโชย ทำจดหมายเปิดผนึกถึง ผบ.เหล่าทัพ อย่าปฏิวัติภาค 2 หวั่น ต.ค.นี้เดือด ซ้ำรอย 22 พ.ค.57 ซัดยึดอำนาจทุกครั้ง "บ้านเมืองถอยหลังกว่าเดิม" แนะ "บิ๊กตู่" ในฐานะ รมว.กห.ปรับหลักสูตร รร.เตรียมทหาร-เรียนรู้ "ประชาธิปไตย"

เมื่อวันที่ 16 ก.ย.64 นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ทำจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 2 ถึง ผบ.เหล่าทัพ โดยมีสาระสำคัญระบุว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.63 ตนเคยเขียนจดหมายเปิดผนึกมาถึง ผบ.ทุกเหล่าทัพครั้งหนึ่งแล้ว มีสาระสำคัญว่า  เสถียรภาพทางการเมืองมีความสําคัญมากกว่าเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะจะทำให้ประเทศเดินหน้า และหากฝ่ายทหารเข้าใจก็จะไม่ออกมาปฏิวัติอีก ถึงวันนี้ตนจำเป็นต้องทำจดหมายเปิดผนึกถึง ผบ.เหล่าทัพอีกครั้งหนึ่ง เพราะเริ่มมีกระแสข่าวลือว่า ทหารอาจจะต้องออกมาปฏิวัติอีก เพราะสถานการณ์บ้านเมืองกำลังอยู่ในวิกฤติ วุ่นวาย เพราะสังคมมีความรู้สึกไม่ยอมรับในตัวผู้นำ รวมถึงการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส มีผู้ออกมาประท้วงรายวันและไม่แน่ใจว่าจะมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นหรือไม่อย่างไร ที่น่าสังเกตผู้ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ที่วิตกกังวลว่า อนาคตของชาติ อนาคตของพวกเขา จะเป็นไปในทิศทางไหน แต่รัฐบาลเองก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน ตอบแค่เพียงว่าอนาคตของชาติอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

"ผมยิ่งกังวลเมื่อฟังตำรวจใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า ความวุ่นวายต้องจบภายในเดือนตุลาคม  หมายความว่าการปราบปราบด้วยวิธีการที่รุนแรง ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จะทวีความรุนแรงขึ้น เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย จึงนึกย้อนหลังถึงเหตุการณ์ก่อนปฏิวัติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ว่า เหตุการณ์ในปัจจุบันมีความคล้ายกับเหตุการณ์ในอดีต คือ มีความขัดแย้งทางการเมือง และประชาชนออกมาเคลื่อนไหว สังคมมีความเห็นแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ขับไล่รัฐบาลนอกสภาฯจนเกิดความวุ่นวาย ช่วงนั้นตำรวจไม่ปฏิบัติหน้าที่เท่าที่ควร ปล่อยให้ประชาชนต่อสู้กันเอง แต่ในปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติ คือ ผู้ที่ออกมาชุมนุมกลับเป็นกลุ่มเยาวชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล แต่รัฐบาลให้ตำรวจจัดการจนกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับเยาวชนไปโดยปริยาย ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้สังคมเห็นพ้องว่า ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 258 ให้มีการปฏิรูปตำรวจ" นายอันวาร์ ระบุ

...

นายอันวาร์ ระบุต่อว่า ตนเป็นนักการเมืองที่พยายามเข้าใจถึงปัญหา และหาทางแก้ไขจึงขอเรียนถึง ผบ.ทุกเหล่าทัพว่า การเมืองที่ปกครองกันด้วยเสียงข้างมาก จะตัดสินออกมาเช่นไร ฝืนความรู้สึกของสังคมหรือไม่อย่าไปสนใจ เพราะประชาธิปไตยมีกลไกในการแก้ปัญหาได้ด้วยตัวของมันเองได้ เริ่มด้วยการรวมกลุ่มกันออกมาชุมนุมต่อต้าน และเรียกร้องให้ทำในสิ่งถูกให้เป็นถูกผิดให้เป็นผิด หากรัฐบาลไม่รับฟังกลุ่มต่อต้านก็จะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นกรณีผลของการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 31 ส.ค.-4 ก.ย.ที่ผ่านมา หากสังคมไม่เห็นด้วยกับการลงมติ ประชาชนจะจัดการกันเอง กองทัพไม่จำเป็นต้องออกมาปฏิวัติ โดยใช้ข้ออ้างที่ว่า ต้องการทำให้บ้านเมืองสงบ ถามว่าแล้วสงบจริงหรือไม่ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติสถานการณ์บ้านเมืองกลับเลวร้ายลงกว่าเดิม เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงด้วยได้วิธีใด ดังนั้นแค่ทหารต้องให้โอกาส กลไกของประชาธิปไตยทำงานให้จนถึงที่สุด และหนทางสุดท้าย คือ การคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน 

"ผมขอใช้โอกาสนี้เสนอท่านนายกฯ ในฐานะ รมว.กลาโหม ขอให้บรรจุการเรียนเกี่ยวกับความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ในหลักสูตรเริ่มตั้งแต่เตรียมทหาร จนกระทั่งถึงโรงเรียนนายร้อย จปร. โดยผมจะทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังสถาบันพระปกเกล้า เพื่อร่วมจัดทำหลักสูตรเพื่อใช้ในการนี้ให้พร้อม จะเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับทหารในเรื่องประชาธิปไตย จะได้ไม่ต้องออกมาทำการปฏิวัติอีก เพราะไม่ใช่ทางออกและทำให้ประเทศดีขึ้นอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน" นายอันวาร์ ระบุ