ที่ปรึกษา ศบค. เผย ไทยอาจมีผู้ติดเชื้อโควิดแฝงมากกว่าตรวจจริง 5-6 เท่า หรืออีก 5-7 ล้านคน ขอทุกคนและทุกองค์กรต้องปฏิบัติตามระบบสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจคู่เรื่องสุขภาพ

วันที่ 8 ก.ย. 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์โควิด-19 ไทยและทั่วโลก อยู่ในช่วงขาขึ้นไว มี 2 ปัจจัยหลักคือ เนื่องจากมีโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา กระจายไปทั่วโลก ถึง 80-90% ส่วนประเทศไทยติดถึง 90% มีการแพร่ระบาดรวดเร็ว และไปทุกที่

นอกจากนี้ การศึกษาของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ทำการสุ่มสำรวจ โดยข้อมูลสอดคล้องกับตอนอู่ฮั่นระบาดเช่นเดียวกัน พบว่า คนที่ไม่มีอาการและไม่เคยตรวจโควิด เมื่อนำมาตรวจ พบว่าติดเชื้อถึง 5-6 เท่า ของตัวเลขผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน โดยตอนนี้คนติดเชื้อโควิด-19 ใน กทม. อยู่ที่ 250,000 คน เมื่อคูณตัวเลข 5-6 เท่า จะพบว่ามีคนติดเชื้ออีก 1.5 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มติดเชื้อแฝง ส่วนตัวเลขทั้งประเทศ ที่อยู่ประมาณ 1.2 ล้านราย คนที่ติดเชื้อแฝงจึงมีอยู่ประมาณ 5-7 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้สามารถแพร่เชื้อได้ จึงเป็นเหตุผลที่มีการติดเชื้อในครอบครัว

ส่วนอีกข้อมูลคือเรื่อง วัคซีน แม้แต่ชนิด mRNA ที่มีการฉีดในต่างประเทศ ก็ยังพบการระบาดอีก จึงขอให้ประชาชนเข้าใจว่า วัคซีนทุกตัว แม้แต่ซิโนแวคไม่สามารถกันติดเชื้อ แต่ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง หรือเข้าไอซียูได้ โดยสามารถป้องกันได้ถึง 90% จึงขอให้ประชาชนรีบไปฉีดวัคซีน เพราะแพทย์ พยาบาล ทำงานหนักมาก

ทั้งนี้ หากจะคิดแบบเดิมคือการล็อกดาวน์นั้นไม่ได้แล้ว เพราะจะกระทบต่อตัวเลขรายได้เศรษฐกิจ ศบค.จึงผ่อนปรน เพราะต้องหาจุดสมดุลระหว่างเรื่องสุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ทุกคนและทุกองค์กรต้องปฏิบัติตามระบบสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยทุกคนต้องกลับมาดูแลตัวเอง

...

ส่วนเป้าหมายการควบคุมโควิด-19 ที่เปลี่ยนไป เพราะภายในเดือน ธ.ค. นี้ ไม่มีทางที่ตัวเลขจะเป็นศูนย์ ด้วยเหตุผลตามข้างผล แต่ ศบค. มีเป้าหมายคือ

1. จะดำเนินการให้ตัวเลขน้อยลง และให้ประชาชนดำเนินชีวิตได้ ตามแบบวิถีใหม่
2. ฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยให้มีสมดุลทางสุขภาพ
3. เปิดประเทศให้ได้ โดยให้คนไทยมีกิจกรรมร่วมกันได้ และต่างประเทศเข้ามาได้.