ผู้ที่ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีอีก 5 คน คงจะเห็นตรงกันว่าเป้าหมายที่โดนถล่มมากที่สุด ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ส่วนประเด็นที่ถูกฝ่ายค้านซักฟอกมากที่สุดคือปัญหาวัคซีน เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อที่ล่าช้า การแทงม้าตัวเดียว และโปร่งใสหรือไม่
ผู้อภิปรายส่วนใหญ่ซึ่งเป็น ส.ส. จากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เห็นพ้องกันว่ารัฐบาลล้มเหลวอย่างร้ายแรงในการจัดหาและการฉีดวัคซีนอันเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้การแพร่ระบาดของโควิด ลุกลามและรุนแรงทั่วประเทศ เนื่องจากในระยะแรก รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบอาจมองว่า โควิด “กระจอก” โรคระบาดธรรมดา
ไม่คิดว่าโควิด–19 จะกลายเป็นโรคอุบัติใหม่ ไม่เหมือนกับไข้หวัดใหญ่หรือโรคซาร์ส ที่เคยระบาดในอดีต จึงจัดซื้อวัคซีนด้วยความล่าช้า ซ้ำยังหวังพึ่งวัคซีนแอสตราเซเนกาเจ้าเดียว แต่เมื่อไฟโควิดลุกลามรวดเร็ว จึงต้องหันไปซื้อซิโนแวคจากจีน เพราะซื้อง่ายและฉีดได้รวดเร็ว โดยไม่คำนึงคุณภาพ เพราะถือว่ากระจอก
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ระบุว่ารัฐบาลผิดพลาดมากมายหลายเรื่อง ทำให้โควิดที่ระบาดในไทย ในปี 2563 ทั้งปี เพียง 6,884 ราย และเสียชีวิตแค่ 61 ราย พุ่งขึ้นเป็นติดเชื้อกว่าล้านราย เสียชีวิตกว่าหมื่นคน ในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2564 ติดเชื้อวันละกว่า 2 หมื่น
ในขณะที่โควิดกำลังลุกลามยิ่งกว่าไฟลามป่า มีเสียงเรียกร้องจากทุกสารทิศ รวมทั้งจากวงการแพทย์เองขอให้รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน อย่างรวดเร็ว และต้องเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ มีปริมาณที่เพียงพอ แต่รัฐบาลก็ยังสั่งซื้อซิโนแวคลอตใหม่อีก 10 ล้านโดส เป็นเงินกว่า 6 พันล้านบาท
เรื่องจึงกลายเป็นอย่างที่ ส.ส.มิ่งขวัญเปรียบเทียบว่า “ขอเป็นใหญ่แต่ได้เป็นจ๊อบ” การระบายฉีดวัคซีนเป็นไป อย่างล่าช้า และมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ เพิ่งจะมาเร่งฉีดเร็วขึ้น ในปลายเดือนสิงหาคม เพื่อให้ทันเปิดประเทศภายใน 120 วัน แต่ยังเล่นแร่แปรธาตุ ให้ฉีดวัคซีนไขว้แบบขายเหล้าพ่วงเบียร์
...
นายกรัฐมนตรีไม่ยอมรับว่าเกิดความผิดพลาด อ้างว่ามีปัญหาแบบเดียวกันทั่วโลก หลายประเทศเลวร้ายกว่าไทย ไม่ยอมรับความผิดพลาด เรื่องที่ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ขององค์การอนามัยโลก ที่มีเกือบ 200 ประเทศ เข้าร่วม รวมทั้งกลุ่มอาเซียน ปล่อยให้ไทยกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์โลกร่วมกับบุรุนดี-เกาหลีเหนือ.