รวบยอดอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 3 เช้าถึงเย็น “พล.อ.ประยุทธ์” ยังเป็นเป้าที่ฝ่ายค้านอภิปราย มี ส.ส.เพื่อไทย ปูดกลางสภาฯ นายกฯ แจกเงิน 5 ล้าน

วันที่ 2 ก.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 3 ก่อนลงมติในวันที่ 4 ก.ย. 2564 เหลือเวลาในการอภิปราย 22 ชั่วโมง โดยมีรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ผู้อภิปรายคนแรกในวันที่ 3 คือ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ทวงถาม พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ว่าเหตุใดจึงยังสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) ทั้งที่ป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาไม่ได้ ทำไมไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ (COVAX) เพราะแสดงถึงวิสัยทัศน์ผู้นำ พร้อมขอให้ตอบเรื่องเงินทอนของการซื้อวัคซีนซิโนแวคที่หายไป 1.6 พันล้านบาทด้วย ขอให้นำหลักฐานการจ่ายเงินที่กรมควบคุมโรคจ่ายให้องค์การเภสัชกรรม และหลักฐานที่องค์การเภสัชกรรมจ่ายให้กับบริษัทซิโนแวค ทุกครั้งที่มีการสั่งซื้อมาแสดงต่อสภาฯ พร้อมขออย่ามาอ้างว่าหลักฐานเหล่านี้เปิดเผยกับประชาชนไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังรวบอำนาจมีกฎหมายในมือมากมายแต่กลับยังควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดไม่ได้ และเหตุใดจึงต้องแทงม้าตัวเดียวไปที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เทียบกับช่วง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เจอทั้งไข้หวัดนก ซาร์ส และสึนามิ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่กับประเทศไทยเช่นเดียวกัน แต่กลับใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฉบับเดียวก็สามารถแก้ปัญหาได้

...

ต่อมา นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วง ระบุว่า มีการอภิปรายเนื้อหาเดิมที่คนอื่นอภิปรายแล้ว ทำให้ไม่ชอบโดยการอภิปราย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย จึงประท้วงกลับขอให้ นายศุภชัย หยุดประท้วง เพราะทำตัวเป็นองครักษ์หลายรอบ มีพฤติกรรมก่อกวน นายศุภชัย จึงขอให้ประธานในที่ประชุมสั่งให้ น.ส.ธีรรัตน์ ถอนคำพูด เรื่องมีพฤติกรรมก่อกวน ทางด้าน นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย จึงได้ประท้วงขอให้ประธานวางตัวเป็นกลาง

จากนั้น น.ส.จิราพร อภิปรายต่อไปว่า นายกรัฐมนตรี ยังเปลี่ยนข้อสั่งการจากมาตรการดูแลเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกที่ 1 เป็นมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมระยะที่ 1 ที่ทราบดีว่าจะเสียหายต่อเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ได้ระมัดระวังอย่างรอบคอบ จนเกิดความเสียหาย ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ และพวกจึงต้องรับผิดชอบความเสียหายกว่า 4 แสนกว่าล้านบาท ตามที่นายอนุทินทำหนังสือด่วนที่สุด รายงานในเรื่องความเสียหายหากไม่สามารถจัดหาวัคซีนได้

ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนอกห้องประชุมสภาฯ เมื่อเวลา 09.35 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมถึงความมั่นใจแค่ไหนกับผลโหวตไว้วางใจ ว่า จะเชื่อไม่เชื่ออะไรก็ไปว่ากันในสภาฯ อย่าพูดนอกสภาฯ เลย ส่วนเรื่องการโหวตไว้วางใจหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ ส.ส. เมื่อถามว่าถึงวันนี้สบายใจขึ้นไหม นายกรัฐมนตรีตอบอย่างเนือยๆ ว่า ก็สบายใจ โดยผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มว่านายกรัฐมนตรีดูมีท่าทีอิดโรย มีรายงานข่าวว่าใช้เวลาเกือบตลอดทั้งคืนวันที่ 1 ก.ย. 2564 ติดตามความเคลื่อนไหวในทางการเมือง โดยเฉพาะในประเด็นกระแสข่าวมีความพยายามการโค่นล้มนายกรัฐมนตรีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เวลา 09.50 น. นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.พลังปวงชนไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า นายกรัฐมนตรีมีพฤติการณ์ฉ้อฉลต่อหน้าที่ มีการสั่งใช้กำลังปราบการชุมนุมรุนแรงเกินกว่าเหตุ ไม่เห็นใจความทุกข์ยากของประชาชน อยู่ในพฤติการณ์โอหังคลั่งอำนาจ รวบรวมอำนาจจากกฎหมายถึง 40 ฉบับ บริหารประเทศแบบรัฐซ้อนรัฐเพราะนั่งคร่อมอยู่หลายตำแหน่ง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังสร้างภาพว่า มีความเสียสละด้วยการสละเงินเดือน 3 เดือน แต่ในความจริงไม่มีความเสียสละเลย อีกทั้งไม่มีการวางแผนรอบคอบ ชักช้า ทำให้ขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถนำวัคซีนมีคุณภาพ มาฉีดให้ประชาชนได้ทันเวลา และถามด้วยว่าเรื่องวัคซีนมีเงินทอนหรือไม่ ส่วนการล็อกดาวน์ก็ไม่มีแผนรองรับ ทำให้ธุรกิจใหญ่ได้ประโยชน์ แต่ธุรกิจเล็กล้มหายตายจากหมด และหากยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ควรเปลี่ยน พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป เอาคนใหม่มานั่งแทน

พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสงสัยการทุจริตจัดซื้อชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) 8.5 ล้านชิ้น ที่นายอนุทิน อาจมีความเชื่อมโยงกับเอกชนหรือไม่ และทำไมไม่เอาของที่ดีที่สุดให้ประชาชนใช้ หากทุกคนทราบว่าติดเชื้อเร็ว ก็จะได้รีบไปรักษา เครื่องตรวจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่กลับไปสั่งแบบลดสเปกลงมาเพื่อเอื้อให้บริษัทหนึ่งประมูลได้ใช่หรือไม่ ขอให้ นายอนุทิน ต้องตอบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรถึงได้รับการประมูล

ทางด้าน นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์เวลา 10.40 น. นอกห้องประชุมสภาฯ ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านท้วงติงว่าในการอภิปรายที่ผ่านมา ให้ข้าราชการประจำมาชี้แจงแทน ว่า วันอภิปรายในวันแรกได้ลุกขึ้นตอบชี้แจงไปแล้ว และเมื่อฝ่ายค้านอภิปรายครบก็จะตอบทีเดียว ขืนไปตอบทุกครั้งๆ ก็คงหมดแรง รวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วตอบทีเดียวจะได้ไม่เป็นการเสียเวลาของประชาชน และข้าราชการที่มาตอบส่วนใหญ่เป็นแพทย์ทั้งนั้น ไม่ได้มาตอบฝ่ายค้าน แต่เอาความจริงที่มีความจำเป็นต้องให้ประชาชนรับทราบมาแจง เพราะเป็นเรื่องของชีวิตและสุขภาพ ความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน เพราะข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายหลายข้อมูลเป็นเท็จ เป็นข้อมูลตัดแปะ

ทั้งนี้ เรื่องแพทย์กับเรื่องการเมืองถ้าเกี่ยวข้องกันเมื่อไหร่ก็บรรลัยเมื่อนั้น เกี่ยวกันไม่ได้ ต้องแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด อย่าไปซ้ำเติมประชาชนผู้เดือดร้อนสูญเสียจากโรคโควิด-19 ดังนั้น การอภิปรายโดยนำภาพคนป่วยที่ทุกข์ทรมานอย่างนี้ ถือเป็นการซ้ำเติมที่โหดร้ายมาก ทำให้ขวัญกำลังใจของผู้ป่วยอยู่แย่ ทั้งที่ปัญหาถูกแก้ไขมาโดยตลอดจนดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถ้าเราไม่ซ้ำเติมกันทุกอย่างก็จะจบได้ภายในเวลาอันสั้น อย่าโหดร้ายกับประชาชน

เวลา 10.51 น. พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงในสภาฯ ตอบข้อกล่าวหาของสมาชิกที่อภิปรายว่า ในด้านการสาธารณสุข ทางรัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เพื่อรับมือกับโควิด-19 รวมถึงสายพันธุ์เดลตา ส่วนที่ประชาชนเดินทางกลับต่างจังหวัด ยืนยันว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลยตามที่กล่าวอ้าง มีการกักตัว มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างจังหวัดดูแล ขณะที่การสั่งซื้อชุดตรวจ ATK 8.5 ล้านชุด ที่ น.ส.จิราพร นำมาเปิดเผยต่อสภานั้น อยากถามว่าทราบข้อการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเพียงการรายงานของ ศบค. เพื่อทราบ ไม่ใช่เพื่อการพิจารณา ส่วนที่ประชุมมีข้อสังเกตอย่างไรอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็นำเข้าสู่เป็นมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) การที่เอาเอกสารมา ระวังด้วยแล้วกัน เมื่อวานก็ได้ดูการชี้แจงไปแล้ว

ส่วนการไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะไทยต้องวางเงินมัดจำสูง หากไปเข้าร่วมจะประเมินความเสี่ยงไม่ได้และไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะจัดส่งให้เมื่อไหร่ เลือกวัคซีนเองก็ไม่ได้ ซึ่งทางโคแวกซ์กำลังเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด และไทยกำลังพิจารณา หากพร้อมก็จะเข้าร่วม อีกทั้งหลายประเทศได้รับวัคซีนน้อยมากเมื่อเทียบกับการสั่งจองเอง และที่ยังใช้วัคซีนซิโนแวคอยู่ เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) รับรอง จึงเป็นเหตุผลที่ไทยยังใช้วัคซีนเชื้อตาย เพราะผลข้างเคียงน้อย สามารถสั่งซื้อได้ตามที่ไทยต้องการ เรื่องการนำวัคซีนมาฉีดแบบไขว้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็ว ในการป้องกันสายพันธุ์เดลตา จึงอยากถามว่าทำไมไม่เชื่อองค์การสาธารณสุขของไทยและแพทย์บ้าง พร้อมยืนยันว่าสถานการณ์ภาพรวมโควิดไทยดีขึ้นเมื่อเทียบกับทั่วโลก ขอให้นำสถิติมาดู ไม่ใช่มาโจมตี ไทยมีอัตราการตายน้อยเมื่อเทียบกับทั่วโลก ดังนั้นการยกข้อดีของต่างประเทศ ต้องยกปัญหาต่างประเทศมาด้วย เพราะเหมือนเป็นการดิสเครดิตในประเทศเอง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้พูดถึงเรื่องการปฏิรูปการศึกษา หลังถูกโจมตีเรื่อง คนโง่ปกครอง ยืนยันให้ความสำคัญการปฏิรูปการศึกษามาโดยตลอด จนทำให้มีผู้ประท้วงจึงจบการชี้แจงในเรื่องดังกล่าว โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้ประท้วงว่าเป็นการเอาเอกสารมาอ่าน และไม่มีใครอภิปรายเรื่องหนี้ครู โดยประธานวินิจฉัยว่าไม่ได้ผิดข้อบังคับเพราะอนุญาตให้นำเอกสารมาอ่านได้ตามที่ ส.ส.หลายคนทำ จึงขอให้ทนฟัง เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต้องทนฟังการตอบโต้กัน

ด้าน นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ขอหารือกับประธาน เนื่องจากรัฐมนตรีได้สูดน้ำมูกถึง 98 ครั้ง เพราะกลัวว่าคนเป็นหวัดเข้ามาในสภาอาจจะแพร่เชื้อได้ ต่อมา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ประท้วงว่า นายจุลพันธ์ อาจเข้าข่ายใส่ความ เพราะนายกรัฐมนตรีสามารถชี้แจง และประท้วงนายประเสริฐพงษ์ ที่พูดจาเสียดสีนายกรัฐมนตรี ขอไม่ให้ใช้คำพูดดังกล่าว หลังจากนั้นก็ยังเกิดการประท้วงอีกหลายครั้งระหว่างนายจุลพันธ์ และนายไพบูลย์ ประธานต้องวินิจฉัยและห้ามปรามอยู่หลายครั้ง

จากนั้นเวลา 11.48 น. นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ถึงคิวอภิปราย โดยเริ่มต้นกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีเป็นฆาตกรเลือดเย็นหรือไม่ นำวัคซีนโควิด-19 มาฉีดให้ประชาชนภายหลังมีข่าวจากต่างประเทศว่ามีปัญหาการแข็งตัวของหลอดเลือด ทำให้เกิดการประท้วงจาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลให้ถอนคำพูด ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรก็วินิจฉัยให้ถอนคำพูด เจ้าตัวก็ยอมถอน จากนั้นอภิปรายต่อไปเรื่อง ATK ที่ซื้อมาราคาแพงเกินจริงหรือไม่ ทั้งนี้ สามารถผ่านออนไลน์ได้ชิ้นละ 33 บาท หรือในราคาชิ้นละ 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น จึงไม่ขอไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลุกขึ้นชี้แจงในเวลา 12.58 น. เรื่องแผนการจัดหาวัคซีนแอสตราเซเนกาของรัฐบาลว่า ในช่วงแรกๆ ได้สื่อสารกับประชาชนว่าจะมีการส่งวัคซีนเดือนละ 3 ล้านกว่าโดส แต่จากนั้นมีการไปหารือกับ นายอนุทิน ใหม่และได้พูดคุยกับบริษัทเแอสตราเซเนกา ยืนยันว่าเราได้จัดสรรวัคซีนเพิ่มมากขึ้นตามแผน ตั้งแต่เดือน ส.ค. - ก.ย. - ต.ค. มีการจัดส่งเพิ่มมากขึ้น โดยเดือน ส.ค. มีการจัดสรรเกือบ 6 ล้านโดส เดือน ก.ย. จะจัดสรรวัคซีน 10 ล้านโดส แต่เราไม่สามารถนำข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่งมาเทียบกับอีกช่วงหนึ่งได้ เพราะโควิด-19 ต้องมีการปรับแผนดำเนินการอยู่ตลอดเวลา ยืนยันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องออกมาบอกข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้เข้าใจสถานการณ์ในช่วงนั้น และตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นเป็นลำดับ เชื่อว่าใน 3-4 เดือนข้างหน้า สถานการณ์จะดีมากขึ้นกว่านี้

เวลา 12.10 น. นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือต้นเหตุการบริหารงานตำรวจที่ผิดพลาด จนทำให้เกิดกรณีแบบ ผู้กำกับโจ้ และยังมีปัญหาการไถเงินจากประชาชนในสถานการณ์ที่โควิดระบาดหนัก ประชาชนได้รับความเดือดร้อนแบบนี้ ขอให้นายกรัฐมนตรีหาคนที่ไว้ใจได้แต่ไม่เอาคนรอบข้าง แล้วให้ลงไปดูว่าประชาชนพูดถึงนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการบริหารโควิด-19 ที่ล้มเหลว

ถึงคิวการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ในเวลา 13.06 น. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบทั้งหมดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ เป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยเท่าที่เคยมีมา พร้อมระบุถึงความผิดพลาดในหลายเรื่อง การตัดสินใจที่ผิดพลาด จัดสรรงบประมาณไม่ตรงจุด แทนที่จะตัดงบไม่จำเป็นไปลงที่การแก้ปัญหาโควิด เงินกู้ก็เบิกจ่ายไม่ได้ตามที่ขอไว้ พร้อมตั้งฉายาว่า “รัฐบาลแอปเป๋าตัง” เอาเงินประชาชนไปใช้ ไม่รู้ใช้อะไร เอื้อนายทุน ตรวจสอบไม่ได้ และยังมีวัคซีนที่ประชาชนไม่สามารถเลือกเองได้ การไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ นายกรัฐมนตรีไม่ยอมขอโทษที่ตัดสินใจผิดแต่กลับให้แพทย์รับผิดชอบแทน

ความผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งเป็นจุดวิกฤติที่ต้องจารึกไว้ในวงการสาธารณสุข ดูเหมือนรัฐบาลฉลาดสั่งปิด แต่ประกาศให้คนงานรู้ตัวก่อนจนเกิดแรงงานหนีออกนอกแคมป์ ส่งผลให้เดลตาลุกลามระบาดทั้งประเทศ ขณะที่การล็อกดาวน์ก็ไม่มีมาตรการเยียวและรองรับที่ชัดเจน ส่วนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ก็ประกาศมาตั้งแต่ 26 มี.ค. 2563 ล่าสุดขยายถึง 30 ก.ย. 2564 รัฐบาลควบคุมสิทธิเสรีภาพของคนทุกอาชีพมานานกว่า 1 ปี 6 เดือนแล้ว

“โควิดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ ทั้งมหภาค จุลภาค ปากท้อง และโยงเข้ามาสู่ความตายของคนไทยทั้งประเทศ ถ้าสั้นๆ ตรงประเด็น นี่คือบทสรุปว่า รัฐบาลท่านไม่มีโควิดท่านก็บริหารไม่เก่ง ไม่รอด เศรษฐกิจพัง ลงจากเก้าอี้เถอะครับท่าน ให้คนไทยคนอื่นๆ ที่เขามีความสามารถ เข้าใจปัญหา วิเคราะห์ปัญหาได้ถูกต้องมาแก้ไขสถานการณ์”

เวลา 14.08 น. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ประสิทธิภาพ และสะสมอำนาจ ใช้กองทัพเป็นนั่งร้านค้ำจุนอำนาจของตัวเอง เปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพปรสิต ไม่ยึดโยงกับประชาชน คอยเสริมกองร้อยควบคุมฝูงชน ซึ่งไม่แน่ใจว่านำมาคุมโควิดหรือคุมม็อบ และหากมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไป กำลังพลเหล่านั้นยิ่งมีสิทธิ์ ต่ออายุราชการเป็นทวีคูณเพิ่มขึ้น เพื่อเกื้อหนุนกำลังพลในกองทัพสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงเท่านั้น นายทหาร ตำรวจ ชั้นผู้น้อยยังโดนอมเบี้ยเลี้ยง ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใช้งบไปเท่าไร และทำงานสัมฤทธิผลหรือไม่

ส่วนกระทรวงกลาโหม ใช้งบกลางในการแก้ปัญหาโควิด ไปในการควบคุมตามแนวชายแดน แต่กลับมีการลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างด้าว จนโควิด-19 แพร่ระบาด แต่ไม่มีใครรับผิดชอบและกลับได้งบประมาณเพิ่มเติม พร้อมตั้งคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยเป็น ผู้บัญชาการทหารบก 4 ปี ว่าจะไม่ทราบเรื่องการทุจริตในกองทัพหรือการอมเบี้ยจริงหรือไม่ จึงไม่สามารถให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจต่อไปได้ เนื่องจากมีความพยายามแทรกซึมกองทัพ ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงาน ไม่ปฏิรูปกองทัพและตำรวจ เชื่อว่าต่อให้ได้งบประมาณมากขึ้นก็ไม่สามารถได้กองทัพที่เข้มแข็ง ทันสมัย และอยู่ข้างประชาชน

ในเวลาประมาณ 15.20 น. นายวิสาร ขออภิปรายเพิ่ม 5 นาที แต่เมื่ออภิปรายเสร็จเจ้าตัวได้กล่าวลั่นกลางสภาฯ ว่า “ขอโอกาสนี้ประกาศไปถึงทั่วโลก ณ ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่ายเงินให้ ส.ส. 5 ล้านบาท อยู่ชั้น 3 ผมรับผิดชอบ การทำอย่างนี้อุกอาจมาก ทุจริต ต้องการอยู่ในตำแหน่งถึงขนาดนี้หรือ ส.ส. ไปรับเงินที่ห้องนายกฯ 5 ล้านบาทตอนนี้ เป็นไปได้อย่างไรประเทศไทย จะอยู่กับความตายของพี่น้องประชาชนแบบนี้เหรอ ล่มเถอะครับ หน้าไม่อาย ถึงเวลาแล้วเนี่ยผมคิดว่าวิญญาณทั้งหลายจะต้องสาปแช่ง ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ในสภาฯ จ่ายเงินคนละ 5 ล้านบาท ตอนนี้ครับอยู่ชั้น 3 ห้องนายกฯ”

ทำให้ นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ประท้วงว่าไม่ได้อยู่ในญัตติ เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้มาชี้แจงเรื่องนอกญัตติ ไม่ทราบว่าพูดเท็จในสภาฯ หรือไม่ ตามด้วย นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ แสดงตัวว่าเพิ่งลงมาจากห้องนายกรัฐมนตรี ข้อเท็จจริงคือพวกเราอยากจะขึ้นไปแสดงความคิดเห็นและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี

“เอาเงินเอาทองอะไรกัน ผมว่ามันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว ผู้แทนราษฎรที่ไหนจะไปเที่ยวรับเงินรับทองกันทีละ 4 ล้าน 5 ล้าน แล้วจะมาแจกอะไรกันอยู่ในพื้นที่อย่างนี้ เหลวไหล พร้อมขอท่านให้ถอนคำพูดเถอะ สภาผู้แทนฯ เราเสียหาย ท่านวิสาร ช่วยถอนคำพูดที มันไม่ถูก พร้อมเพิ่งลงมานี่แหละ”

เวลา 16.12 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องการจัดซื้อยุทโธปกรณ์กองทัพ 3 โครงการกว่า 3,000 ล้านบาท พบเสนาธิการทหารอากาศ คนสนิท ผู้บัญชาการทหารอากาศ มีการสั่งแก้ TOR ในโครงการ อีกทั้งกระทรวงกลาโหมซื้อยุทโธปกรณ์ไปทิ้งจำนวนมาก เช่น เรือเหาะที่บินไม่ขึ้น เครื่องตรวจวัตถุระเบิดที่ใช้งานไม่ได้ ปืนที่ยิงแล้วลำกล้องแตก รถเกราะคุณภาพต่ำ และอื่นๆ อีกมาก ทั้งที่นายกรัฐมนตรีบอกไว้ในนโยบายรัฐบาลว่า จะสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ประเภทอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย แต่กลับปล่อยปละละเลยให้คนนอกกองทัพเข้ามาแก้ไขและปรับปรุง TOR ที่ทำไว้ดีอยู่แล้ว เพื่อสนับสนุนการจ้างงานในประเทศ และแก้ปัญหาในกองทัพอากาศ นอกจากนี้ ยังมีปูนตำแหน่งสำคัญ ให้บุคคลดังกล่าวไปดูการจัดซื้อจัดจ้างในกองทัพ และออกมาข่มขู่คนที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล ถือว่าเป็นการสนับสนุนคนไม่ดีให้มามีตำแหน่งที่สำคัญ ส่วนตัวจึงไม่สามารถไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ขึ้นอภิปรายในเวลา 17.20 น. ถึงการเดินหน้าจัดซื้อโครงการเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่เป็นจีทูจีเก๊ ไม่ได้ลงนามกับรัฐบาลจีน แต่ลงนามกับตัวแทนบริษัทเอกชนจีน มีการเร่งรีบทำสัญญา แม้การจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ถูกกระแสสังคมต่อต้านหนัก จนต้องถอนวาระการจัดซื้อออกไป แต่ยังเหลือโครงการที่เกี่ยวเนื่องอยู่ และยังพาดพิงไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่มีรายชื่อถูกอภิปราย ว่าเป็นบิดาแห่งเรือดำน้ำด้วย


หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงอีกครั้งในสภาฯ เมื่อเวลา 18.00 น. ยืนยันว่า ไม่เคยเรียกผลประโยชน์จากใคร พยายามลดการทุจริต ถ้ามีหลักฐานเพียงพอก็ให้ไปว่ากันในชั้นศาล ส่วนเรื่องคำถามในการคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารนั้น ต้องมีการตรวจสอบทัศนคติ เป็นคำถามธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ยืนยันไม่เคยเอากฎหมาย ทหารตำรวจมาปกป้องตัวเอง เพราะปกป้องตัวเองได้ เห็นขู่กันจังข้างนอก ก็ลองมาแล้วกัน ไม่ได้ท้าทาย แต่คิดว่าป้องกันตัวเองได้ การบอกว่าเอากำลังมาปิดกั้นที่ดินแดงเพื่อปกป้องบ้านตนนั้น เป็นการชักชวนให้คนไม่เข้าใจหรือไม่ บริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางคมนาคม ทำให้การจราจรติดขัด แฟลตดินแดงเดือดร้อน แล้วจะทำไปทำไม นอกจากนี้ ยังไม่เคยล็อกสเปก ไม่เคยทุจริต มิเช่นนั้นคงไม่กล้ายืนต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ

ส่วนกรณีที่ นายวิสาร กล่าวหาว่าใช้ห้องพักชั้น 3 เรียก ส.ส.เข้าพบ แจกเงินคนละ 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับเสียงโหวตนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่ทำแบบนั้น เขาขึ้นมาทักทายเท่านั้น ผมไม่ทำแบบถุงขนมอยู่แล้ว” พร้อมยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยเราลำดับก็ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ใช่อย่างที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน มีการอภิปรายกัน.