ส.ส.ก้าวไกล "พิจารณ์" ซัดนายกฯ เปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพปรสิต ตั้ง ศปม.เอื้อคุมม็อบ ตั้งคำถามสอบนักเรียนนายร้อย คัดคนเห็นต่างออกระบบ ทุจริตและล็อกสเปกยุทโธปกรณ์
เมื่อเวลา 14.08 น. วันที่ 2 ก.ย. 2564 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในการประชุม
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงการไร้ประสิทธิภาพ และสะสมอำนาจ ใช้กองทัพเป็นนั่งร้านค้ำจุนอำนาจของตัวเอง เปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพปรสิต ไม่ยึดโยงกับประชาชน โดยพบว่ามีการออกคำสั่งตั้ง ศบค. และมีหน่วยงานย่อยถึง 14 ศูนย์ 1 ในนั้น คือ มีโครงสร้าง ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง หรือ ศปม. มีหัวหน้า เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยมีอัตรากำลังรวมทั้งสิ้น 109,981 อัตรา ตั้งมาเพื่อควบคุมสถานการณ์โควิด เพื่อตั้งศูนย์และย้ายผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีอีกหน้าที่ คอยเสริมกองร้อยควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. ซึ่งไม่แน่ใจนำมาคุมโควิดหรือคุมม็อบ ทั้งนี้หากมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไป กำลังพลเหล่านั้นยิ่งมีสิทธิ์ ต่ออายุราชการเป็นทวีคูณเพิ่มขึ้น เพื่อเกื้อหนุนกำลังพลในกองทัพสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์
...
ขณะที่งบประมาณในหน่วยงานดังกล่าว จากงบกลาง ปี 63 ได้งบถึง 372.71 ล้านบาท ในปี 64 ได้รับงบกลาง เมื่อ 17 พ.ค. 64 จำนวน 387 ล้านบาท และ 13 ก.ค. 64 ได้งบ 392.77 ซึ่งยังตรวจสอบงบประมาณได้ยาก และนายทหาร ตำรวจ ชั้นผู้น้อยยังโดนอมเบี้ยเลี้ยง ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใช้งบไปเท่าไร และทำงานสัมฤทธิ์ผลหรือไม่
ส่วนกระทรวงกลาโหม ใช้งบกลางในการแก้ปัญหาโควิด ไปในการควบคุมตามแนวชายแดน แต่กลับมีการลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างด้าว จนโควิด-19 แพร่ระบาด แต่ไม่มีใครรับผิดชอบและกลับได้งบประมาณเพิ่มเติม พร้อมตั้งคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยเป็น ผู้บัญชาการทหารบก 4 ปี ว่าจะไม่ทราบเรื่องการทุจริตในกองทัพ หรือ การอมเบี้ย จริงหรือไม่
นายพิจารณ์ ยังเปิดคลิปแฉถึงเรื่องการสอบสัมภาษณ์นักเรียนนายร้อยตำรวจ และระบุว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการนำหน่วยงาน Local CAT จำนวน 50 นาย และ จิตอาสา 904 จำนวน 25 นาย เข้ามาให้แนวทางการสอบสัมภาษณ์บุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมนายร้อยตำรวจ แทน ผบ.ตร. และยังเข้ามาเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งคำถามในเรื่องการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ และม็อบ 3 นิ้ว อีกทั้งยังกีดกันบุคคลที่เป็น LGBTQ หรือ คนที่มีทัศนคติ ที่เป็นบวกเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าวออกจากระบบ และยังมีการล็อกสเปก
นอกจากนี้ ยังมีการล็อกสเปกยุทโธปกรณ์ โครงการซื้อเครื่องบิน ใช้งานทั่วไป เป็นเครื่องบินลำเลียง ทำให้พบส่วนต่างหายไปถึง 100 ล้านบาท มีการเปลี่ยนโครงการซื้อเป็นซ่อมบำรุง จากการซื้อรถยนต์บรรทุก ขนาด 2.5 ตัน 169 คัน 921 ล้านบาท เป็น โครงการซ่อมบำรุง M35 2.5 ตัน และ UNIMOG 1.25 ตัน ทั้งที่มีอายุ 40-50 ปี ใช้งบซ่อม M35 จำนวน 259 คัน จำนวน 518 ล้านบาท โดยใช้เครื่องยนต์ KM250 ที่ผลิตในเกาหลีใต้ ที่กำลังจะหยุดการผลิตและพบว่ามีค่าส่วนต่างคันละ 4 แสนบาท ส่วนค่าซ่อม UNIMOG 2 ล้าน แต่เคยซื้อจากอินเดียคันละ 2.2 ล้านบาท เมื่อไปดู TOR พบว่ามีล็อกสเปก ให้คนขายอะไหล่มาซ่อม ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดระเบียบของกองทัพบก ที่ห้ามมีค่าซ่อมเกินกว่า 65% ของราคา และยังผิดในด้านนโยบาย จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาชี้แจง
ขณะที่กองทัพอากาศ การจัดหาเครื่องบินฝึกฝูงใหม่ T-50TH พบว่าหลังจากผ่านไป 6 ปี มีการซื้อแพงขึ้น 23% รวม 1,315 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่าอะไหล่แทบทุกรายการแพงกว่าเดิมถึง 34% จึงอยากให้พล.อ.ประวิตร เข้ามาชี้แจง ว่าใครได้ประโยชน์
ส่วนตัวจึงไม่สามารถให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจต่อไปได้ เนื่องจากมีความพยายามแทรกซึมกองทัพ ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงาน ไม่ปฏิรูปกองทัพและตำรวจ เชื่อว่าต่อให้ได้งบประมาณมากขึ้นก็ไม่สามารถ ได้กองทัพที่เข้มแข็ง ทันสมัย และอยู่ข้างประชาชน และจบการอภิปรายในเวลา 15.19 น.