“มิ่งขวัญ” จัดหนักร่ายยาวข้อผิดพลาด “ประยุทธ์” บริหารโควิดไม่รอด ซ้ำทำเศรษฐกิจพัง จี้ลาออกเปิดทางคนมีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหา

เมื่อเวลา 13.06 น. วันที่ 2 ก.ย. 2564 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในวันที่ 3 โดยอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบทั้งหมดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ เป็นหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รับผิดชอบเรื่องโควิด-19 และสาธารณสุขโดยตรง และยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วย จึงต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น

สถานการณ์โควิดวันนี้เป็นความตาย เป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยเท่าที่เคยมีมา แม้โควิดจะระบาดทั่วโลกแต่ผลกระทบต่างกัน ขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารของแต่ละประเทศ ในส่วนของไทยมีจุดเริ่มต้นการระบาดเมื่อ 13 ม.ค. 2563 ตรวจพบคนไทยคนแรกติดเชื้อ เป็นคนขับแท็กซี่ติดเชื้อจากหญิงชาวจีน ขณะที่เมื่อเทียบปี 2563 และ 2564 พบว่าผู้เชื้อสูงขึ้นถึง 17,081% และเสียชีวิตสูงกว่า 18,844% รัฐบาลจัดการอย่างไรถึงเกิดตัวเลขเช่นนี้ นี่คือความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของคนไทยทั้งประเทศ

...

นายมิ่งขวัญ ขยายความต่อไปว่ารัฐบาลไทยตัดสินใจผิดพลาดตรงไหน เริ่มต้นจากงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลทำงบมากกว่าที่ควรจะเป็น เงินฟุ่มเฟือยที่ไม่ควรใช้ก็ใช้เหมือนเดิม ถ้าจัดสรรงบประมาณให้ถูกต้อง ตัดงบไม่จำเป็นไปลงที่แก้ปัญหาโควิด แต่รัฐบาลไม่ทำ อีกทั้งยังขอกู้เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน 2 ครั้งรวม 1.5 ล้านล้านบาท และนี่เป็นวิกฤติใหญ่สุดของประเทศ

ขณะที่เงินกู้โควิด 1 ล้านล้านบาท ก็จัดสรรเป็นการแพทย์และสาธารณสุขเพียง 45,000 ล้านบาท ที่เหลืออ้างว่าเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งเป็นวิธีที่ผิดพลาด ซึ่งเคยอภิปรายไปแล้วว่าควรให้การแพทย์และสาธารณสุขและวัคซีนไป 100,000 ล้านบาท เงินประชาชนก็คืนเขาไป แต่นายกรัฐมนตรีไม่เชื่อ ไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่จำภาพที่นายกรัฐมนตรีชี้หน้าพูดว่าเอาเงินมาจากไหน คิดแบบนี้ได้อย่างไร อีกทั้งข้อมูลจากสภาพัฒน์ (2 ก.ย. 2564) พบว่าเงินส่วนนี้เบิกจ่ายได้เพียง 11,623.22 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.83% เท่านั้น ถ้าใช้จ่ายด้วยวิธีอย่างนี้ ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้เงิน ควรจะทำเร่งด่วนกว่านี้

ขณะที่เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ก็ยังแบ่งแบบเดิม จัดสรรให้การแพทย์และสาธารณสุขเพียง 30,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงบเยียวยา 470,000 ล้านบาท คำตอบอยู่ที่แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เอาเงินไปจ้างทำแอป ขอตั้งฉายาว่า “รัฐบาลแอปเป๋าตัง” เอาเงินประชาชนไปใช้ ไม่รู้ใช้อะไร เอื้อนายทุน ตรวจสอบไม่ได้ สิ่งที่น่าครหาคือเข้ากระเป๋านายทุนโดยตรง และยังออกเป็นแอปอื่นเต็มไปหมด

ในเรื่องการจัดซื้อวัคซีน ขอตำหนิรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างรุนแรง ทำไมจึงบังคับให้ผู้มีอายุ 18-59 ปี ฉีดวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) ส่วนผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ตรงนี้มีข้อพิรุธสงสัยเยอะมาก ขอต่อว่า ว่าทำไมองค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่ให้ผ่านมาตรฐาน ทำไมคนไทย 40 ล้าน ต้องถูกบังคับฉีดซิโนแวคอย่างเดียว เอาความจริงมาพูดกัน และขอรอฟังนายกรัฐมนตรีมาตอบ เพราะไม่เคยตอบอะไรเลย ทั้งนี้ ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) เป็นของรัฐบาล ส่วนซิโนแวคของเอกชน ทำไมไม่ติดต่อซิโนฟาร์ม ยัดซิโนแวคให้คนไทยทำไม ขอให้ประชาชนตัดสินว่าเรื่องนี้ชอบมาพากลหรือไม่ งานวิจัยมหาวิทยาลัยมหิดล ก็พบว่า ซิโนแวคไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ อัลฟา เดลตา และเบตาได้ ยังจะดันทุรังอีกหรือ กระทั่งกลุ่มแพทย์มากมายออกมาเรียกร้องวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ แต่ล่าสุดยังสั่งซื้อซิโนแวคเพิ่มอีก 12 ล้านโดส

ความผิดพลาดต่อมาคือการไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ผู้นำทั้งหมดคงไม่ฉลาด มีแต่ผู้นำไทยมั้งที่ฉลาดแล้วไม่เข้า ซึ่งปัจจุบันมี 192 จาก 200 ประเทศ เข้าร่วมโคแวกซ์แล้ว ก่อนหน้านี้ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็ออกมาแถลงขอโทษประชาชนที่จัดหาวัคซีนไม่ทันสถานการณ์และเตรียมร่วมโคแวกซ์ ส่วนตัวอภัยให้แพทย์ แต่ไม่อภัยให้นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ยอมขอโทษเพราะตัดสินใจผิด ให้แพทย์รับผิดชอบแทนทั้งที่นายกรัฐมนตรีที่เป็นชายชาติทหาร ส่วนการฉีดวัคซีนไขว้เพราะสั่งได้เฉพาะซิโนแวคหรือไม่ ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เอามาฉีดเป็นเข็มแรก เป็นแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งถ้าไม่เอาซิโนแวคแต่แรกจะไม่เกิดปัญหา

จากนั้น นายมิ่งขวัญ ยังกล่าวไปถึงการจัดหาชุดตรวจโควิดที่รัฐบาลไม่ทำตั้งแต่แรกเพื่อแยกผู้ป่วยออกไปรักษา ต่างประเทศแจก Antigen Test Kit (ATK) ฟรี และในรัฐธรรมนูญก็ระบุถึงการรักษาพื้นฐานของประชาชนต้องอยู่ในความรับผิดชอบรัฐบาล แล้วเงินที่กู้ไปเอาไปทำอะไร ชุดตรวจในประเทศไทยก็ราคาสูง ชาวบ้านยากจนไม่มีเงินซื้อ ยังรวมไปถึงการจัดหาชุดตรวจ ATK ที่ดูไม่โปร่งใส ประชาชนไทย 66 ล้านคน บวกกับประชากรแฝงอีกจำนวนหนึ่ง แต่จัดซื้อเพียง 8.5 ล้านชุด แล้วเงินที่กู้ทำไมไม่เอาไปซื้อ ซ้ำรายที่ประมูลชนะก็ยังมีราคาถึง 70 บาท ซึ่งชมรมแพทย์ชนบทออกมาเปิดเผยว่ายี่ห้อดังกล่าวราคาขายในต่างประเทศไม่เกิน 35 บาท และงานวิจัยพบว่ามีความไวน้อยมาก ผลลบเทียมสูง 48% ต่างจากข้อมูลที่ผู้ประมูลเสนอองค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมารอาหารและยา (อย.) แล้วคนไทยจะมั่นใจได้อย่างไร ไม่เพียงเท่านั้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ส.ค. 2564 ยังมีการแก้ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ว่า ATK ไม่ต้องผ่าน WHO รับรองด้วย แต่อย่างไรก็ตาม องค์การเภสัชกรรมมีการร้องให้ตรวจสอบทุจริตชุดตรวจนี้แล้ว หวั่นว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเศร้าแบบเดียวกับซิโนแวคหรือไม่

ความผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่จบแค่นั้น ยังมีการการปิดแคมป์คนงานเดือน มิ.ย. 2564 ซึ่งเป็นจุดวิกฤติที่ต้องจารึกไว้ในวงการสาธารณสุข ดูเหมือนรัฐบาลฉลาดสั่งปิด แต่ประกาศให้คนงานรู้ตัวก่อน ประกาศ 26 มิ.ย. แต่มีผล 28 มิ.ย. 2564 จนเกิดแรงงานหนีออกนอกแคมป์ ส่งผลให้เดลตาลุกลามระบาดทั้งประเทศ ขณะที่การล็อกดาวน์ ก็ไม่มีมาตรการเยียวและรองรับที่ชัดเจน ไม่รู้เงินเอาไปทำอะไรหมด เคยบอกแล้วควรจ่ายชดเชยโดยตรงทันที แต่ประเทศไทยกลับต้องผ่านแอปพลิเคชัน ส่วนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ก็ประกาศมาตั้งแต่ 26 มี.ค. 2563 ล่าสุดขยายถึง 30 ก.ย. 2564 รัฐบาลควบคุมสิทธิเสรีภาพของคนทุกอาชีพมานานกว่า 1 ปี 6 เดือนแล้ว

ความผิดพลาดของรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผลกระทบต่อการสูญเสียของคนไทย มีเด็กกำพร้าเกิดขึ้นมากมาย มีผู้เสียชีวิตคาบ้านและข้างถนน ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนทำให้เกิดได้แบบนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจก็มากมาย กระทบหลายธุรกิจ ผู้ประกอบการ หลายอาชีพ ราคาพืชผลการเกษตรก็ตกต่ำ รวมถึงส่งผลกระทบความเชื่อมั่นประเทศ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 14 ล้านล้านบาท ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทยยังคาดว่าจะใช้เวลาฟื้นเศรษฐกิจนานถึง 6 ปี ซึ่งวิกฤติวันนี้เพราะบริหารโควิดผิดพลาด

“โควิดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ ทั้งมหภาค จุลภาค ปากท้อง และโยงเข้ามาสู่ความตายของคนไทยทั้งประเทศ ถ้าสั้นๆ ตรงประเด็น นี่คือบทสรุปว่า รัฐบาลท่านไม่มีโควิดท่านก็บริหารไม่เก่ง ไม่รอด เศรษฐกิจพัง มีโควิดแล้วท่านเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ทั้งหมดผมขอยืนยัน ผมพูดทั้งหมดเพื่อแทนความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศ ครั้งที่แล้วผลเคยยกมือกราบให้ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก ท่านก็เฉย

เที่ยวนี้ผมอยากจะกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่ง ลงจากเก้าอี้เถอะครับท่าน ให้คนไทยคนอื่นๆ ที่เขามีความสามารถ เข้าใจปัญหา วิเคราะห์ปัญหาได้ถูกต้องมาแก้ไขสถานการณ์ คนไทยทุกคนเราจะดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตรอดและอยู่ไปด้วยกัน ผมไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดย นายมิ่งขวัญ จบการอภิปรายในเวลา 14.08 น. ใช้เวลาไปราว 1 ชั่วโมง.