สรุปภาพรวมวัน 2 เช้าถึงเย็น ฝ่ายค้านข้อมูลเพียบอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ยังไม่พ้นบริหารประเทศ จัดการโควิด วัคซีน ล้มเหลว “พล.อ.ประยุทธ์” ฮึ่ม ลุกแจงหลายรอบ

วันนี้ (1 ก.ย. 2564) เวลา 09.00 น. ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 2 ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

คนแรกของการอภิปรายวันที่ 2 เริ่มต้นด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายการบริหารรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ครบรอบ 8 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความล้มเหลวพังพินาศของประเทศ แห่งความทุกข์ทนทรมานของประชาชนคนไทย บริหารวัคซีนโควิด-19 และระบบเศรษฐกิจล้มเหลวผิดพลาด ทำให้หลายธุรกิจปิดตัว คนตกงานสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน และไม่ได้เกิดจากโควิด-19 ตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเพราะการบริหารงาน การล็อกดาวน์ไม่มีแบบแผน เป็นนายกรัฐมนตรีที่ก่อหนี้สิ้นและมีตัวเลขการว่างงานสูงมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ หนี้ครัวเรือนไทยสูง ชี้ชัดว่านายกรัฐมนตรียิ่งอยู่นานคนไทยยิ่งเป็นหนี้และยิ่งจนลง ไม่ต่างจากการที่เอาถุงดำมาคลุมหัวคนไทยให้ขาดอากาศตายอย่างช้าๆ ทำให้คนไทยจำนวนมากหันไปพึ่งหนี้นอกระบบ

...

“พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นผู้นำแห่งการโกหกหลอกลวง นโยบายการหาเสียงที่ผ่านมาก็เป็นเพียงการขายฝัน และยังเป็นรัฐบาลที่ขับเคลื่อนด้วยการด่า ซึ่ง 8 ปี พิสูจน์แล้วว่า เป็นผู้นำที่ไม่มีความรู้ความสามารถมาบริหารประเทศได้ และยังทำให้ประชาชนตื่นรู้เรื่องปฏิวัติรัฐประหาร ที่คนรุ่นใหม่ต้องการขอให้พอกันที จึงขอไม่ไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ออกไป”

เวลา 09.20 น. ที่นอกห้องประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมสภาฯ ว่า ยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในตอนนี้ จะไม่มีการยุบสภาในตอนนี้ ไม่มีในสมอง เพราะฉะนั้นใครที่ออกไปพูดในลักษณะนี้ระวังตัวไว้ด้วย เพื่อสร้างความตื่นตระหนกอะไรก็แล้วแต่ ในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีหลายข่าว ส่วนตัวติดตามมาโดยตลอด ถ้ามีใครทำเช่นนั้นจริง คิดว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้

ส่วนเรื่องการโหวตล้มนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ถ้าจริงถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ แล้วเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาทำอย่างนั้น ทำไปเพื่ออะไร เข้ามาทำงานก็ทำงาน 100% ทุกเรื่อง ดังนั้นที่มีข่าวว่าจะมีการไปรวมคะแนนเสียงโหวต จริงไม่จริงไม่ทราบ แต่ถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษถ้าทำแบบนี้ ส่วนที่ 2 อาจจะมีการปล่อยข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภา ทุกคนก็ตื่นตระหนกไปหมด และมีการไปพูดทำนองเรื่องของกำลังคน ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการยุบสภา และเรื่องที่ 3 มีการแอบอ้างหรือเปล่า ยืนยันว่าทุกเรื่องแอบอ้างทั้งสิ้น

“ยืนยันไม่มีการยุบสภา เรากำลังทำงานหนักอยู่ ทำงานสำคัญ เราจะยุบสภาได้อย่างไร เรื่องที่ 2 การแอบอ้างเบื้องสูงว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ถือว่าผิดอย่างร้ายแรง ผมคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสถวายข้อราชการ คนอื่นไม่มี ชัดเจนไหม”

เวลา 10.35 น. นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ถึงการบริหารสถานการณ์โควิด ที่ไม่เป็นระบบ ทำให้สั่งวัคซีนล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาระบาด ปล่อยแรงงานให้ต่อสู้ตามมีตามเกิด ไม่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ กฎเกณฑ์ธนาคารทำให้ลูกหนี้เข้าไม่ถึง เพราะไม่เปลี่ยนให้เป็นในภาวะปกติ ออกมาตรการไม่ถามเอกชน เยียวยาไม่ตรงเป้าหมาย ไม่ฟังข้อเสนอของเอกชนและพรรคฝ่ายค้านเสนอกลับไป ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งสูง แต่รัฐบาลกลับปลดล็อก ส่วนนโยบายการช่วยเหลือและเยียวยากลับยุ่งยากซับซ้อน ทั้ง ม.33, ม.39 และ ม.40 จึงตั้งคำถามว่าเหตุใดไม่ทำให้ง่าย สั้น และเยียวยาให้ครบ นโยบายสร้างชาติของพรรคพลังประชารัฐก็ทำไม่ได้ตามที่หาเสียงไว้

นายศรันย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย อภิปรายเป็นคนต่อไปในเวลา 11.01 น. ว่า นายกรัฐมนตรีไร้ความสามารถ บ้าคลั่งในอำนาจ ไร้วิสัยทัศน์ นำประเทศออกจากวิกฤติอย่างไร้ทิศทาง หากไม่เปลี่ยนผู้นำ เอาคนที่เก่งมาเป็นลูกน้องก็เปลี่ยนไม่ได้ และทำให้ไทยไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในและนอกวิกฤติ ทำให้เสียการแข่งขัน ในโลกในอนาคต หากยังเป็นเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ใช่ทำลายในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน แต่ยังทำลายอนาคตด้วย จึงขอให้สมาชิกเลิกสนับสนุนผู้นำแบบนี้ เพราะประเทศต้องเปลี่ยนแปลง โดยประชาชนจะจดจำสิ่งที่ทำในวันนี้ ส่วนตนเองก็ไม่สามารถไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้

จากนั้นในเวลา 11.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงในที่ประชุมสภาฯ ว่า การเปิดประเทศ 120 วัน ไม่อยากให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ที่ผ่านมาเราเตรียมการทุกอย่าง ทั้งการเจรจาท่องเที่ยวกับต่างประเทศ อะไรปรับได้เราก็ปรับ ตอนนี้ไม่มีประเทศไหนมีจีดีพีสูง อย่าลืมรัฐบาลที่ผ่านมาช่วยประชาชนไปเท่าไร ไปถามประชาชนดูว่าได้ประโยชน์ไหม หลายอย่างทำได้หมด ถ้ามีเงินมากพอ ท่านคิดว่าท่านทำได้ทำไมไม่ทำมาก่อน ยืนยันไม่เคยทำงานส่วนตัว และไม่ได้ทำที่บ้าน ไม่เคยรับแขกที่บ้าน มาเป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว มีแต่บิดเบือน ส่วนแผนเปิดประเทศ ถ้าสามารถทำได้ เดือน ต.ค. 2564 เราก็ทำ หากเปิดการท่องเที่ยวทำไม่ได้ก็เปิดเป็นเซกเตอร์ไป เราต้องช่วยกัน เป็น ส.ส.ก็ต้องช่วยกัน ส่วนเรื่องการชุมนุมถ้าถูกกฎหมายใครไปทำอะไรได้ แล้วก็มี ส.ส.อยู่เบื้องหลัง “ผมก็กลัวกฎหมาย ดังนั้นท่านอย่ามาขู่ผม”

อย่าบอกรัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน อย่าเอาข้อมูลโซเชียลมาพูด ไม่มีใครอยากให้เมืองไทยเป็นเมืองขึ้น เพราะเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เพราะมีระบอบประชาธิปไตย มีคนคอยบ่อนทำลายประเทศอยู่แล้วเถียงมาสิว่าไม่มี เวลาก็ผ่านไปเป็นวันๆ ไม่ได้อะไร ขัดแย้งตลอดเวลา

“ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวคนไม่มาประเทศไทย เพราะโควิด-19 ระบาด ประเทศอื่นเขาก็แย่ แย่กว่าเรามีไหม แล้วเขา ให้บินไปไหม หรือเราจะบินไปทำได้ไหม เขาให้บินได้ไหมครับ ถ้าให้บินได้ผมจะบินวันพรุ่งนี้เลย มันเป็นสถานการณ์วิกฤติ บอกผมบริหารไม่ได้ เสียใจ ขอโทษ ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ผมรู้ทุกคนรักประเทศชาติ แต่หลายคนอาจรักตัวเองมากกว่า มั่นใจ 4-5 ปี ประเทศไทยเราเห็นหน้าเห็นหลังแน่นอน เราไม่เคยหยุดงาน มันหยุดไม่ได้ ทั้งการเจรจา เปิดตลาดการค้าใหม่”

ต่อมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวชี้แจงเมื่อเวลา 12.02 น. ถึงกรณีการเปิดการท่องเที่ยว ว่า 1 ต.ค. นี้ กำลังจะเปิดเพิ่มเติมอีก 5 จังหวัด ได้แก่ กทม. ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ เมื่อเข้าสู่สเตปที่ 3 จะเปิดเพิ่มอีก 21 จังหวัด ตั้งแต่ 15 ต.ค. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งครอบคลุมทั้งประเทศ จากนั้นจะเข้าสู่สเตปที่ 4 คือการเปิดแบบบับเบิลระหว่างประเทศ กับประเทศเพื่อนบ้าน ตามพื้นที่ชายแดนต่างๆ โดยจะเปิด 1 ม.ค. - 15 ม.ค. 2565

ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวของไทยจะเปิดวันที่ 1 ต.ค. เนื่องจาก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ อันดามัน เข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว แต่ฝั่งอ่าวไทย เข้าสู่ฤดูมรสุม จึงต้องหลีกเลี่ยงการท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้เป็นการดำเนินงานของนายกรัฐมนตรี มีการหารือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกระทรวงเป็นระยะ

“การเปิดประเทศ ต้องมีความพร้อม และต้องแมชชิ่งกับการได้รับวัคซีนของคนไทย พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่นายกฯ ไม่ได้ทำอะไร แต่เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไทยประสบปัญหา ทั่วโลกประสบเหมือนกับไทย เนื่องจากโควิด-19 ยังไม่ได้ไปไหน แต่การเปิดท่องเที่ยวต้องเปิดอย่างนิวนอร์มอล”

ทางด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงกรณีที่ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล นำมาอภิปรายเกี่ยวกับปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ในสภาฯ เมื่อวานนี้ (31 ส.ค. 2564) ว่า พบพิรุธหลายจุด เนื่องจากลายเซ็นของแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่เหมือนกัน อีกทั้ง เอกสารที่ระบุว่ามีผู้อำนวยการกองยุทธการแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้เซ็นนั้น มีการปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นแล้ว 1 ปีเศษ และนามสกุลยังผิดด้วย พร้อมยืนยันว่ากระทรวงกลาโหม และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ไม่มีนโยบาย ให้ดำเนินการบิดเบือน หรือให้ร้ายบุคคลใด

จากนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ประท้วง พล.อ.ชัยชาญ ว่า ตอบนอกประเด็น เนื่องจากเมื่อวานนี้มีการถามเรื่องการอมเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการเพื่อส่งให้ผู้บังคับบัญชาจริงหรือไม่ ตามโครงการคนละครึ่งรูปแบบใหม่ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พล.อ.ชัยชาญ จึงลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งว่ามีการสั่งตรวจสอบแล้ว หากผิดจริงจะต้องมีการลงโทษ

ขณะที่ นายณัฐชา ก็ลุกขึ้นประท้วงขอให้ พล.อ.ชัยชาญ นำคลิปวิดีโอและรูปภาพที่หน่วยงานในกองทัพทำเสนอผู้บังคับบัญชามาชี้แจงอย่างชัดเจนอีกครั้งว่าจริงหรือไม่ ส่วนเอกสารที่ระบุว่านามสกุล ตำแหน่งยศผิดนั้น ก็ไม่สามารถสอนภาษาไทยหน่วยงานในกองทัพได้ รายชื่อในเอกสารที่มีการเปิดเผยในสภาฯ มีบุคคลและดำรงตำแหน่งยศนั้นจริงๆ หรือไม่ เพราะในภาพปรากฏชัดเจนว่ามีการปฏิบัติการด้านข่าวสาร คอยที่จะไปด้อยค่าฝ่ายตรงข้าม และคอยสนับสนุนงานของรัฐบาล จึงอยากถามว่าเป็นภารกิจของฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ ส่วนเอกสารที่ พล.อ.ชัยชาญ ระบุว่าไม่จริง แต่ตนเองบอกจริง ก็ขอให้ไปว่ากันในชั้นศาลต่อไป เพราะยินดีรับผิดชอบทุกเอกสารที่นำมาเสนอในสภาฯ โดย พล.อ.ชัยชาญ ยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการตรวจสอบเบื้องต้น และเป็นเอกสารที่ไม่จริง แต่ตอนนี้หน่วยงานกองทัพบก แม่ทัพภาคที่ 2 ก็กำลังตรวจสอบเอกสารทั้งหมด รวมถึงคลิป ว่าสิ่งที่ นายณัฐชานำมาอภิปรายนั้นจริงหรือไม่ และจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

นายจุลพันธ์ กล่าวประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ ในเวลาต่อมาว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงเกือบ 10 นาที มาตอบในเรื่องเกษตร ทั้งที่ยังไม่มีการอภิปรายเรื่องดังกล่าว และยังเอาโพยของข้าราชการมาตอบ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่ได้ฟังฝ่ายค้านอภิปราย และมาฟังด้วยหัวใจมืดบอด อีกทั้ง ยังมาพาดพิงว่าตอนพวกตนเองเป็นรัฐบาลทำไมไม่ได้ทำ เนื่องจากมีการปฏิวัติรัฐประหาร ทำให้ต้องออกไป และบ้านเมืองถูกเปลี่ยนมาเป็นระบอบเผด็จการ นายกรัฐมนตรียังมาถามอีกว่า รู้หรือไม่ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะผู้นำม็อบ และผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นมีการวางแผนทำรัฐประหารถึง 3 ปี จนทำให้บ้านเมืองอยู่ในระบอบเผด็จการ จนพังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้

เวลา 14.25 น. พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงอีกครั้ง ยืนยันการทำงานของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาทั้งการเกษตรรวมถึงวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 สำหรับวิกฤติโควิดที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก สร้างผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ยอมรับว่ารัฐบาลมีความล่าช้า เพราะมีขั้นตอนการทำงานเป็นระบบ การกำหนดมาตรการการป้องกันโรคและลดการแพร่ระบาด ต้องฟังแพทย์ในฐานะผู้อยู่หน้างาน ทั้งนี้ การท่องเที่ยวมีผลกระทบมาก โดยปี 2564 คาดว่าจะมียอดนักท่องเที่ยวต่ำกว่าล้านคน รัฐบาลเร่งเยียวยาประชาชนอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีผลกระทบมากกว่า เพราะเราพึ่งพาการท่องเที่ยว ดังนั้นจะมากล่าวหาว่าบริหารการเงินการคลังได้อย่างไร รัฐบาลจำต้องทำกู้เงินเพื่อมาช่วยเหลือประชาชนในยามนี้ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีที่ยอมถูกต่อว่า ว่ากู้เงินมากที่สุด

“ท่านพูดผมเข้ามารัฐประหารตั้งแต่ปี 57 แล้วก็มานั่งกันอยู่ตรงนี้กี่ปี ถามว่าแล้วตอนนี้มาจากที่ไหน มาจากรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันหรือไม่ ก็ให้ไปสู้กันวันข้างหน้า ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน แล้วมันเบื่อเพราะอะไร ให้ไปคิด ผมไม่พูด ส่วนเรื่องยาเสพติด ขอให้ท่านเขียนจดหมายจ่าหน้าซองมาเลย แล้วดูสิผมจะจับมันได้ไหม คนดีก็ทำงาน คนไม่ดีก็มีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่องค์กรเสียไปทั้งหมด ภาคใต้ก็มีความคืบหน้า พูดเรื่องยางพาราก็ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ถ้าทำแบบเดิมก็ได้แบบเดิม ขอให้ย้อนกลับไปมองดู 7 ปีที่แล้ว เป็นอย่างไร ผมไม่อยากกล่าวอ้าง”

หลังชี้แจงจบ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกประท้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกไม่เคยโกหกใคร แต่ท่านโกหกดิฉันมา 5 ครั้งแล้ว เพราะบอกว่าหลังรัฐประหารจะอยู่ไม่นาน แล้วที่บอกว่าหากใครมีปัญหาให้เขียนจดหมายถึงท่าน ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงกระทู้ถามสดในสภาฯ ด้วย

ขณะที่เวลา 14.45 น. ภายนอกห้องประชุมสภาฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวล้ม พล.อ.ประยุทธ์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ไม่เคยสนใจ หรือใส่ใจเรื่องตำแหน่งหน้าที่ และพูดมาเสมอว่าได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองถือว่าชีวิตสูงสุดแล้ว ส่วนที่เหลือถ้ามีโอกาสทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง รับใช้แผ่นดิน รับใช้ประชาชน ก็จะทำให้ดีที่สุด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คงไม่ต้องพูดอะไรมากว่าทำอะไรเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้น การจะมาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในรัฐบาล ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดียวกัน ไม่ใช่พฤติกรรมของตน หากจำได้การประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐที่ จ.ขอนแก่น ยืนยันว่า จะนำพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองที่มีความเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของประชาชนและจะทำต่อไป

“ข่าวลือที่ออกมาว่าผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินมาจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่ามีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน และร้ายไปกว่านั้นมีรัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐรับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่าคนเป็นรัฐมนตรีสมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ เพราะควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ไม่ต้องใคร 4 ช. ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือคำตอบของผม

ขบวนการมีหรือไม่มีต้องไปถามคนเต้าข่าวว่าต้องการอะไรแน่ คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล ไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลาย ชอบเลียแข้งเลียขา สำเหนียกซะบ้าง ผมรู้หมดแล้ว บางคนบันทึกเทปไว้หมดแล้ว ระวัง เดี๋ยวเจอกัน”

ต่อกันที่การประชุมสภาฯ เวลาประมาณ 14.50 น. ถึงคิว นายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงประเด็นเรื่องการบริการราชการแผ่นดินล้มเหลว บริหารวิกฤตการณ์โควิด-19 ล้มเหลว โดยขอกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน สั่งซื้อวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อสถานการณ์ ณ เวลาที่รู้หรือควรรู้ว่าวัคซีนชนิดนั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อสถานการณ์อีกต่อไป หรือจะพูดสั้นๆ อย่างเข้าใจง่ายว่า ซื้อของที่ใช้ไม่ได้ ณ เวลาที่รู้อยู่แล้วว่าใช้ไม่ได้

“วันนี้เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เชื่อเหลือเกินว่าในอีกไม่กี่วัน วันเสาร์ที่เราจะลงมติกัน ท่านก็คงจะได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกผู้ทรงเกียรติในสภาฯ แห่งนี้ และวันนี้ก็ไม่ใช่ศาลยุติธรรม แต่ผมเชื่อว่าข้อมูลต่างๆ ที่มีปรากฏอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้ผมมาสรุปแบบนี้ด้วยซ้ำ ประชาชนเขาเห็น ทุกคนเห็น และท้ายที่สุดท่านอาจจะยังไม่ต้องก้าวสู่ศาลยุติธรรม แต่ตอนนี้ท่านได้ก้าวเข้าสู่ศาลประชาชนแล้ว และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินผิดบาปของท่าน ด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงไม่อาจที่จะลงมติให้ความไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้”

เวลา 15.43 น. ถึงการอภิปรายของสมาชิกอีกรายที่หลายคนจับตามอง คือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง โดยเริ่มต้นอภิปรายเรื่องการกระจายวัคซีนของรัฐบาล พร้อมเปิดคลิปที่ นายอนุทิน พูดถึงวาทกรรมจะมีวัคซีนแอสตราเซเนกาเต็มแขน เมื่อ 17 ก.พ. 2564 โดย นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงว่าการเปิดคลิปเป็นการนำมาดัดแปลง ทำให้ดูเสียดสี และตลกขบขัน จึงขอให้ประธานวินิจฉัยอย่าเปิดคลิปแบบนี้อีก ซึ่ง นายสุชาติ ทำหน้าที่ประธานในขณะนั้นวินิจฉัยว่าได้ดูคลิปแล้วไม่เสียหาย แต่เพื่อเป็นภาพลักษณ์ของตัวรัฐมนตรี จึงขอให้หลีกเลี่ยง

นายวิโรจน์ อภิปรายต่อไปยืนยันว่าไม่ได้ด้อยค่าวัคซีนซิโนแวค เพียงแต่มองว่าไม่เหมาะกับสถานการณ์ในประเทศไทยในขณะนี้ ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ แต่รัฐบาลไทยก็ยังมีการจัดซื้อซ้ำ เพื่อมาเป็นวัคซีนไขว้จึงขอให้ นายอนุทิน นำงานวิจัยระดับโลกมายืนยันกับคนไทย เพราะเหมือนเป็นแผนวัคซีนลวงโลก กีดกันวัคซีนชนิดอื่น ขณะที่แผนส่งมอบวัคซีนตามที่รัฐบาลประกาศในสิ้นเดือน ธ.ค. 2564 จะไม่สามารถส่งมอบได้ 61 ล้านโดส ขณะที่การฉีดวัคซีนแบบไขว้ก็อาจจะไม่มีวัคซีนแอสตราเซเนกาเพียงพอหรือไม่ รวมถึงอาจยังมีการโกหกเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่ และยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลปฏิเสธเรื่องการเข้าโครงการ Covax และการแทงม้าตัวเดียว

ระหว่างที่ นายวิโรจน์ กำลังอภิปรายเกิดการประท้วงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอภิปรายด้วยท่าทางดุดัน มีการเปิดคลิปถึงบุคคลอื่น ทำให้ ส.ส. อาทิ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วง ในเรื่องที่ประธานเพิกเฉยเรื่องคำกล่าวที่ว่า “วัคซีนลวงโลก” เนื่องจากไม่มีเรื่องดังกล่าว และขอให้ นายวิโรจน์ อย่าเสียดสี ว่าตนเองเป็นงู เพราะตนเองเป็น ส.ส. ขณะที่ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรคพลังประชารัฐ มีการประท้วง ขอให้อย่านำสถาบันมากล่าวอ้างอีก เพราะตนเองรักสถาบัน เทิดทูน จึงขออย่าพูดในสภาฯ เพราะสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ส่วน นายศุภชัย ลุกประท้วงหลายครั้งว่าอภิปรายในประเด็นที่ซ้ำ และแพทย์ได้ชี้แจงแล้ว จึงขอให้ข้ามไปอภิปรายในประเด็นอื่น และขออย่าใส่ร้ายป้ายสี นายอนุทิน อย่างรุนแรงอีก รวมถึงอย่าใช้ถ้อยคำที่สภาไม่ใช้กัน ก่อนจะจบการอภิปรายในเวลาเกือบ 18.00 น.