ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ เหตุการณ์อันสำคัญยิ่งของประเทศไทยเราในช่วงนี้...อันได้แก่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 ท่านยังไม่เริ่มขึ้น

ผมมีความจำเป็นต้องส่งต้นฉบับโดยไม่สามารถจะรอได้ ขออนุญาตท่านผู้อ่านเขียนถึงเรื่องราวและข่าวคราวความเคลื่อนไหว ตลอดจนข้อคิดความเห็นต่างๆโดยไม่มีการฉายหนังตัวอย่างก็แล้วกัน

หวังว่าท่านผู้อ่านที่มีโอกาสติดตามรับชมรับฟัง หรือได้อ่านบทสรุปจากสื่อต่างๆมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คงจะทราบกันแล้วนะครับ ว่าการอภิปรายที่ผ่านมาได้เนื้อได้หนังได้สาระอะไรไปแล้วบ้าง

เหตุที่ผมให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็นการเหมารวมรัฐบาลทั้งคณะ หรืออภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายตัวท่านใดท่านหนึ่ง...ก็เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจสอบ “รัฐบาล” เป็นระยะๆ

ว่าดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปแล้วมากน้อยแค่ไหน? ทำตามสัญญาต่างๆที่ให้ไว้แก่ประชาชนหรือไม่? มีช่องโหว่ หรือมีรั่วมีไหลหรือไม่?

เป็นที่มาของการที่จะต้องมีกลไกในการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลขึ้นในทุกๆประเทศ

ซึ่งก็เป็นผลดีอย่างยิ่ง ทำให้ รัฐบาล จะต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง และไม่ทำอะไรที่เสียหาย โดยเฉพาะเรื่องความรั่วไหลต่างๆ

แต่เท่าที่ผ่านมา จะเป็นเพราะฝ่ายค้านของเราไม่ค่อยทำการบ้านจริงจัง ไม่ติดตามดูแลการทำงานของรัฐบาลอย่างจริงจัง...หรือไม่ก็คอยแต่จะหาโอกาสเข้าร่วมรัฐบาลท่าเดียว หากมีข้อเสนอดีๆจากฝ่ายรัฐบาลมายื่นให้ฝ่ายค้านก็พร้อมที่จะเป็น “งูเห่า” กันได้ง่ายๆ

...

ทำให้การตรวจสอบไม่ค่อยมีน้ำหนัก และในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มักจะมีแต่การเล่นสำนวนโวหาร ไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐาน มาแสดง ให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลทำไม่ดีอย่างไร บกพร่องอย่างไรที่ชัดเจน

ดังนั้น เมื่อการอภิปรายจบลงฝ่ายค้านบ้านเราจึงมักจะเป็นฝ่ายแพ้แบบ “ครบวงจร” หรือแพ้อย่างหมดรูปในที่สุด

เพราะไม่เพียงแต่จะพ่ายแพ้ในจำนวนคะแนนเสียงจากการยกมือของ ส.ส. ซึ่งอย่างไรเสียฝ่ายค้านก็น้อยกว่าอยู่แล้ว...ยังมาพ่ายแพ้ในด้านความรู้สึกและทัศนคติจากประชาชนอีกด้วย ว่าในการอภิปรายที่จบลงนั้น ฝ่ายค้านไม่มี “น้ำยา” อะไรเลยแม้แต่หยดเดียว

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านเปิดประเด็นว่า จะเป็นการเปิดยุทธการ “หยุดยุทธ์ หยุดโอหัง คลั่งอำนาจ หยุดความพินาศของประเทศ” ซึ่งก็เป็นสำนวนโวหารที่ดุเดือดเร่าร้อนชนิดหัวหน้าข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายคน ยังไม่สามารถพาดหัวได้ขนาดนี้

ผมไม่เข้าใครออกใคร...อยากเห็นการพัฒนาทางการเมืองที่ดีขึ้น จะใช้ถ้อยคำรุนแรงแค่ไหนก็ว่ากันไป แต่อยากให้การอภิปรายมีหลักฐานที่ชัดเจนถึงขั้น “หยุดยุทธ์” ได้จริงๆอย่างที่ว่า

หากนายกฯประยุทธ์จะต้อง “หยุด” เพราะจำนนต่อหลักฐานทีเด็ดของฝ่ายค้านก็จะถือเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่น่ายินดี และใครก็ตามที่เอาใจช่วยท่านอยู่ก็คงต้องยอมรับ

ผมกลัวว่าจะจบแบบกร่อยๆ หรือแบบ “ไม่มีน้ำยา” ที่ทำให้ฝ่ายค้านต้องพ่ายแพ้หมดรูปอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตเสียอีกเท่านั้น

หากการอภิปรายจบลงได้แบบฝ่ายค้านชนะน็อกด้วยหลักฐานที่ชัดเจน นอกจากจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว โดยส่วนตัวผมจะรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษ เนื่องจากท่าน “ผู้นำ” ฝ่ายค้านชุดนี้เป็นเพื่อนรักเกลอเก่าของผมเอง

ผมเคยเรียนท่านผู้อ่านไว้แล้วว่า ผมกับคุณ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซี้กันมาก เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่นุ่งกางเกงขาสั้นโน่น...เจอกันหลังไมค์...ท่านผู้นำจะเรียกผมว่า “ไอ้ชาย” (ตามชื่อ สมชาย ของผม) และผมก็จะเรียกท่านว่า “ไอ้พงษ์” (ตามชื่อสมพงษ์ของท่าน)

อะไรไม่อะไร...ผมจะได้มีโอกาสใช้ถ้อยคำทันสมัย คือคำว่า “กู-มึง” ในคอลัมน์ผมบ้าง...เห็น “ดารา” เขาโพสต์คำนี้กันให้เกร่อในโซเชียล กูอย่างนั้น มึงอย่างนี้...ก็อยากใช้บ้างว่างั้นเถอะ

สรุปว่า...ชกให้สมศักดิ์ศรีและชนะใจประชาชนนะโว้ย “ไอ้พงษ์”...“กู” เชียร์ “มึง” เต็มที่เลย...แต่ถ้าไม่สมศักดิ์ศรี กูก็คงไม่ว่าอะไรมึงหรอก ขอแค่อุทานว่า “กูนึกอยู่แล้วเชียว” ก็เท่านั้นเอง.

“ซูม”