รัฐบาล เตรียมเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทย ต่อเวทีสหประชาชาติ เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมโยงกับหลักการประชาธิปไตย สันติภาพและสิทธิมนุษยชน
วันที่ 4 สิงหาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยเตรียมเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย (Universal Periodic Review: URP) รอบที่ 3 ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม นี้ โดยระบุประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ไทยให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางและหัวใจสำคัญของการทำงานของไทย เพราะรัฐบาลเห็นว่า ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้เมื่อภาคประชาสังคม ภาคเอกชน อาสาสมัคร ผู้หญิงและเด็ก และภาคส่วนอื่นๆ ได้รับการส่งเริมและมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในสังคมและการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลยังเชื่อมั่นว่า ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อมีการฟื้นตัวของสังคมและเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับหลักการประชาธิปไตย สันติภาพและสิทธิมนุษยชนด้วย
ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลเปิดเผยการดำเนินของรัฐบาลที่เน้นการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนรวมทั้งทิศทางในอนาคต ได้แก่
การคุ้มครองสิทธิในการพัฒนาและการขจัดความยากจน ทั้งทางสังคมและการเข้าถึงสาธารณูปโภค ซึ่งช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา รัฐบาลยังได้มีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ โครงการ “คนละครึ่ง” โครงการ “เราชนะ”
สิทธิด้านสุขภาพ รัฐบาลส่งเสริมนโยบายหลักประกันสุขภาพ รวมทั้งกำหนดเป้าหมายฉีดวัคซีนให้กับคนไทยอย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในปี 64 รัฐบาลรับประกันการศึกษาสำหรับนักเรียนไทยรวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้อพยพ แรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน บุตรหลานแรงงานต่างด้าว รวมทั้งผู้พิการจะได้รับการศึกษาตามแผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิทางการศึกษา รวมทั้งคุ้มครองสิทธิแรงงานทุกคนโดยไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือ สถานะอื่นๆ เพิ่มสิทธิประโยชน์ลูกจ้างในกรณีว่างงาน
...
ขณะเดียวกัน ได้มีการทบทวนปรับปรุง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 โดยบรรจุนิยามและคำชี้แจง “แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” และ “การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพิ่มมาตรการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพของเหยื่อที่ถูกบังคับใช้แรงงาน
รัฐบาลกำหนดให้กระบวนการยุติธรรมเป็น 1 ใน 11 ด้านการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งพัฒนากลไกช่วยเหลือประชาชน อาทิ การจัดให้มีทนายความประจำสถานีตำรวจ การพัฒนาระบบการยื่นเอกสารและส่งคำคู่ความเอกสารผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยรัฐบาลเคารพและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชนอย่างสร้างสรรค์โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ ยังดำเนินเกี่ยวกับสิทธิของกลุ่มเฉพาะ เช่น “เด็ก” มีกฎหมาย คุ้มครองเด็กจากสื่อออนไลน์ “สตรี” ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในสถานที่ทำงาน จัดทำร่าง พ.ร.บ คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จัดทำร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เพื่อให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถจดทะเบียนคู่ชีวิตได้ รวมทั้งจัดทำร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
“ในการประชุม ครม. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานเร่งรัดผลักดันประเด็นสำคัญที่ยังคั่งค้างตามรายงาน URP รอบที่ 3 ที่ ครม. ให้ความเห็นชอบ เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ครอบคลุมทุกด้าน รวมทั้งให้สนับสนุนแพลตฟอร์มการสื่อสารที่เปิดกว้าง และให้เข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนและรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้ให้กับหน่วยงานภาครัฐและประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมด้วย” นายอนุชา กล่าว