คนสื่อออนไลน์ฟ้องศาลแพ่งโละคำสั่งปิดปากสื่อและประชาชน “ฐปณีย์” ขอให้เพิกถอนข้อกำหนดติดหนวดตัดเน็ตโดยไม่มีอำนาจ-ขัดรัฐธรรมนูญ ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทนายจวกนายกฯใช้อำนาจเกินเหตุ “ชัยวุฒิ” เสียงอ่อยจ่อเชิญผู้บริหารสื่อถกปม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยันไม่เจตนาปิดกั้น แต่จำเป็นต้องสกัดสื่อเทียมแอบแฝง 16 ส.ค.ฝ่ายค้านได้ฤกษ์ยื่นญัตติซักฟอกรมต.เป็นรายบุคคล “ประยุทธ์” ยืนหนึ่งเป้าเชือดหลัก คาดเปิดเขียงถลกหนังปลาย ส.ค.หรือต้น ก.ย. ก้าวไกลโวย กมธ.งบฯซีกรัฐบาลฮั้ว พท.แปรญัตติงบ 16,300 ล้านโปะงบกลาง ตีเช็คเปล่าใส่มือนายกฯ เพื่อนนิเทศจุฬาฯ รุ่น 40 ร่อน จ.ม.เปิดผนึกถึงลูกสาวฝาแฝดนายกฯ ขอเพื่อนสะกิดพ่อลาออกทันที รับผิดชอบบริหารล้มเหลว

องค์กรสื่อออนไลน์ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องเสรีภาพในการทำหน้าที่ เข้ายื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. ต่อศาลแพ่ง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนข้อกำหนดฉบับที่ 29 ให้อำนาจ กสทช.หยุดการสื่อสารออนไลน์ หรือ “ตัดเน็ต” ผู้โพสต์ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว โดยไม่มีอำนาจและขัดต่อรัฐธรรมนูญ พร้อมขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่วคราว

...

สื่อออนไลน์ร้องศาลโละคำสั่ง “บิ๊กตู่”

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ส.ค. ที่ศาลแพ่ง น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสื่อออนไลน์ The Reporters พร้อมด้วยนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน นำตัวแทนสื่อออนไลน์ ประกอบด้วย Voice, The Standard, The Momentum, THE MATTER, ประชาไท, Dem All, The People, way magazine, PLUS SEVEN จำนวน 12 คน รวมตัวยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศบค. เพื่อให้ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิกถอนข้อกำหนดฉบับที่ 29 ที่ให้อำนาจ กสทช.หยุดการสื่อสารออนไลน์ หรือ “ตัดเน็ต” ผู้โพสต์ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ถือเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีความจำเป็น ไม่ได้สัดส่วน ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่วคราว ทั้งนี้ ศาลแพ่งรับฟ้องเป็นคดีดำที่ พ.3618/64 และไต่สวนฉุกเฉิน โดยนัดฟังคำสั่งในวันที่ 6 ส.ค.

ทนายซัดตัดเน็ตใช้อำนาจเกินเหตุ

นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 ไม่ได้ให้อำนาจนายกฯสั่งระงับการใช้บริการอินเตอร์เน็ตได้ เป็นการกระทำที่เกินไปกว่าแนวของศาลอาญา หรือเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพื่อคุ้มครองเสรีภาพของสื่อและเสรีภาพทางการแสดงออก หากจะปิดกั้นหรือลบข้อความควรลบเป็นรายข้อความที่ผิดกฎหมายเท่านั้น แต่การระงับให้บริการอินเตอร์เน็ต จะทำให้ผู้ที่ถูกระงับไม่สามารถใช้งานได้ในทุกแพลตฟอร์ม ถือเป็นการปิดกั้นการสื่อสารในอนาคตขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ทั้งหมดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ส่วนการจัดการข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน รัฐบาลใช้กฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ดำเนินคดีได้อยู่แล้ว

“ฐปณีย์” ชี้ข่าวน่ากลัวตามข้อเท็จจริง

ด้าน น.ส.ฐปณีย์กล่าวว่า ข้อกำหนดฉบับที่ 29 สร้างความหวาดกลัวต่อสื่อมวลชนและประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การนำเสนอข่าวเรื่องผู้ป่วยเสียชีวิตในบ้านหรือข้างถนน ข่าวเหล่านี้สลดหดหู่ เศร้า ถึงเป็นข่าวน่ากลัว แต่น่ากลัวโดยสถานการณ์และข้อเท็จจริง ในฐานะสื่อมวลชนเราตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนรายงานข่าว มีหน้าที่นำเสนอข่าวช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ให้ได้เข้าถึงสิทธิการรักษา รัฐไม่ควรใช้กฎหมายมาปิดกั้น ข้อกำหนดนี้ไม่ชัดเจน กำกวมซ้ำเติมสถานการณ์ ได้ตระหนักถึงจรรยาบรรณในวิชาชีพอยู่แล้ว ทั้งนี้ เราไม่ได้หวาดกลัวข้อกำหนด แต่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของทุกคนมากกว่า

“ชัยวุฒิ” จ่อเชิญสื่อถก

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กรณี 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อกำหนดฉบับที่ 27 และฉบับที่ 29 ตามความมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขอยืนยันไม่มีเจตนาไปควบคุมการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน ไม่มีเหตุผลต้องไปปิดกั้นการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา แต่จำเป็นต้องป้องกันการบิดเบือนข้อมูลของผู้ทำตัวเสมือนเป็นสื่อมวลชนหรือสื่อเทียม ไร้สังกัด ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีองค์กรกำกับตรวจสอบการทำหน้าที่ชัดเจน มักนำเสนอข้อมูลข่าวสารผิดจากข้อเท็จจริงผ่านแพลตฟอร์มอื่นๆ เจตนาบิดเบือนหวังผลบางอย่าง เพื่อสร้างความเข้าใจจะขอเชิญผู้บริหารองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน หารือในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันอย่างแท้จริง

16 ส.ค.ฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอก

เมื่อเวลา 13.00 น. นายสมพงษ์ อมรวิวิฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นประธานการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน กรณีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านระบบซูม มีแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเข้าร่วม อาทิ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ต่อมาเวลา 14.50 น.นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน เปิดเผยว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านสรุปจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เป็นผู้ถูกอภิปรายหลัก เพราะเป็นศูนย์รวมของปัญหาและความล้มเหลวในการแก้ปัญหาทั้งปวงของประเทศ ส่วนรัฐมนตรีคนอื่น จะสรุปรายชื่อวันที่ 10 ส.ค. จะยื่นรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายและญัตติเปิดอภิปรายฯ ให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯวันที่ 16 ส.ค. ครั้งนี้มุ่งอภิปรายชี้ให้ประชาชนเห็นชัดเจนว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายบริหารงานผิดพลาด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆโดยเฉพาะโควิด-19 ไม่เตรียมพร้อมเยียวยาประชาชนและเตรียมฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตพี่น้องประชาชน เชื่อว่าการอภิปรายจะมีขึ้นปลายเดือน ส.ค.หรือต้นเดือน ก.ย.

“บิ๊กตู่” กำชับพรรคร่วมคุยกันมากๆ

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่โถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม หลังต้อนรับนายอิกนาซิโอ กัสซิส รองประธานาธิบดี และ รมว.ต่างประเทศ สมาพันธรัฐสวิส เข้าเยี่ยมคารวะ ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา ได้พูดคุยกันต่อ

ด้านนายวราวุธเปิดเผยว่า นายกฯพูดถึงงานที่แต่ละคนรับผิดชอบ ไม่มีอะไรในกอไผ่ฝากทุกพรรคทำงานด้วยกัน มีอะไรให้พูดคุยกันช่วงวิกฤติโควิด-19 ขอให้พูดคุยกันมากๆ จะได้ทำความเข้าใจกัน ได้บอกว่าเราทำงานกันเต็มที่ ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิ รัฐบาลคงเตรียมตัวทำการบ้าน พรรคเรายืนยันมาตลอดว่าเรือฝ่าพายุอยู่โดดออกไป ไม่ได้แปลว่าพายุหาย มิหนำซ้ำอาจตายกลางพายุเหมือนกัน เรือจะพังทั้งลำ ยังยืนหยัดทำงานเคียงข้างนายกฯที่ทราบดีและยังมีกำลังใจทำงานอยู่

กมธ.หั่นงบ 16,300 ล้านโปะงบกลาง

ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 นัดสุดท้าย มีนายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธาน กมธ.ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาแปรญัตติงบ 16,300 ล้านบาท ที่ กมธ.ตัดลดจากงบทั้งหมด 3.1 ล้านล้านบาท ว่าจะแปรงบไปเพิ่มเติมให้หน่วยงานใด มีการยื่นแปรญัตติงบฯมา 2 ญัตติคือ 1.ญัตตินายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ขอแปรงบ 16,300 ล้านบาทไปไว้ที่งบกลาง 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลือกระจายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานเลขาธิการสภาฯ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และสำนักงานอัยการสูงสุด 2.ญัตติ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เสนอแปรงบ 16,300 ล้านบาทไปให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชดเชยรายได้ลดอัตราภาษีที่ดินปี 63-64 มูลค่า 13,200 ล้านบาท ที่เหลือกระจายให้สำนักงานกองทุนหลักประกันสุขภาพ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งมติเสียงข้างมาก 35-7 ให้แปรงบไปไว้งบกลางทั้งหมด เสียงคัดค้านมีพรรคก้าวไกล 6 เสียง และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ ส่วน กมธ.พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยลงมติเห็นชอบแปรงบไปไว้ที่งบกลาง

“วิรัช” อ้างเทเข้างบกลางแก้โควิด

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 65 กล่าวว่า เป็นความจำเป็นต้องนำงบฯไปเพิ่มใช้แก้ปัญหาแพร่ระบาดโควิด-19 สถานการณ์แพร่ระบาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงควรจัดสรรงบฯไปไว้ในงบกลาง สำนักงบฯประเมินว่าต้องจัดสรรงบฯไปในส่วนใดบ้าง หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ผวจ.ประสานขออนุมัติงบกลางไปใช้ได้ทันที จึงไม่เห็นด้วยที่ฝ่ายค้านจะโยกไปไว้ยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โอนงบมาอยู่ที่งบกลางการตรวจสอบยังทำได้ ก่อนนำงบฯไปใช้ ทุกหน่วยต้องเสนอแผนงานมา ผู้บริหารจัดการงบฯเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

กก.โวยแหลกตีเช็กเปล่าให้นายกฯ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 65 กล่าวว่า ญัตติให้แปรงบฯไปยังงบกลางไม่ชอบมาพากล ไม่เหมาะสม แม้อ้างเพื่อแก้ไขโควิด แต่สภาฯเพิ่งอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทไม่จำเป็นต้องเพิ่มอีก แม้ใช้งบกลางหมด ยังมีเงินสำรองจ่ายอีก 5 หมื่นล้านบาท ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ งบกลางเป็นอำนาจเต็มของนายกฯอนุมัติไปใช้ ตรวจสอบยาก มีหน่วยงานต่างๆ ขอแปรญัตติเพิ่มงบฯวงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท สมควรและเหมาะสมจะได้มากกว่า มี กมธ.ฝ่ายรัฐบาลบางส่วนคัดค้านแปรงบฯไปให้งบกลาง 1 หมื่นล้านบาท แล้วต่อรองปรับเหลือ 5 พันล้านบาท ตั้งไว้เพื่อต่อรองกัน หรือเพียงเตรียมงบฯไว้สำหรับการเลือกตั้ง อยากให้คืนงบฯเพื่อสวัสดิการประชาชน อย่าตีเช็คเปล่าให้นายกฯ จะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“พิธา” โวยถลุงงบฯทำสงคราม ปชช.

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทำงบจัดซื้ออาวุธปืน สำหรับปีหน้ากว่า 7,000 กระบอก รวม 5 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ ซื้อไปแล้ว 80,303 กระบอก เตรียมปกป้องหรือเตรียมทำสงครามกับประชาชน จัดซื้ออุปกรณ์ควบคุมฝูงชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่หลังปี 2561 ตั้งแต่ปี 2561-2565 ตั้งงบเพื่อการนี้กว่า 2,070 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือการจัดซื้อปืนช็อตไฟฟ้า (Taser gun) สำหรับ 1,493 สน.ในปีงบฯ 63 ไม่คิดว่าการซื้ออาวุธสงคราม ดาบปลายปืน รถหุ้มเกราะจะช่วยอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน การติดอาวุธให้ตำรวจกลายเป็นทหารเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยและการปกป้องสิทธิประชาชน หน้าที่ตำรวจคือการรักษากฎหมาย ปกป้องสิทธิประชาชน ไม่ใช่ทำสงครามกับประชาชน

ขวาง พท.-พปชร.ฮั้วเกมแก้ รธน.

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง กล่าวถึงการประชุม กมธ.วันที่ 4 ส.ค. ว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร.ในฐานะประธาน กมธ.จะให้ตั้งคณะทำงานจัดทำเนื้อหาตามคำแปรญัตติ เพื่อรวบรัดและปิดปากในชั้นกรรมาธิการ มี กมธ.แล้วไม่จำเป็นต้องตั้งคณะทำงานอีกเป็นเหลี่ยมทางการเมืองมุบมิบเขียนกติกาเอื้อประโยชน์ 2 พรรคใหญ่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ใช้เสียงข้างมากโหวตตามความต้องการ กมธ.ซีกพรรคก้าวไกลจะคัดค้าน และต้องโต้แย้งการเล่นเกมการเมืองเสนอคำแปรญัตติของพรรคพปชร.และพรรคเพื่อไทย ที่รัฐสภาลงมติไม่รับหลักการไปแล้วเข้าสู่การพิจารณา ต้องไม่ใช่ตีความทำทุกอย่างตามอำเภอใจ

11 พรรคเล็กรู้แกวผนึกกำลังต้าน

นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย กล่าวว่า กมธ.วิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญมีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ กมธ.ต้องพิจารณาเฉพาะร่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านวาระ 1 มาฉบับเดียว ส่วนร่างฉบับพรรค พปชร.และพรรคเพื่อไทยถูกตีตก กมธ.จะปัดฝุ่นมาพิจารณาใหม่รวบรัดรวบหัวรวบหางให้มี ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ให้ได้ เข้าทาง 2 พรรคใหญ่ที่จับมือกัน ดังนั้น 11 พรรคเล็กและพรรคก้าวไกลจึงไม่เห็นด้วย ได้ยื่นแปรญัตติขวางเต็มที่

เพื่อนลูกแฝดส่ง จม.สะกิดพ่อไขก๊อก

เมื่อคืนวันที่ 1 ส.ค. นายคณาธิป สุนทรรักษ์ หรือครูลูกกอล์ฟ ครูสอนภาษาและเจ้าของสถาบัน Angkriz โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ LG and Friends เป็นจดหมายเปิดผนึก “จากเพื่อนถึงเพื่อน : กลุ่มเพื่อนนิเทศจุฬาฯ รุ่น 40 ส่งจดหมายถึง “พลอย-เพลิน” น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา ลูกสาวฝาแฝดของนายกฯ” เพื่อฝากขอให้ช่วยบอกให้พ่อลาออก มีเพื่อนร่วมรุ่นร่วมลงชื่อกันมา 88 คน โดยได้เน้นย้ำว่า จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่เพื่อนๆเขียนร่วมกันทุกขั้นตอนได้รับฉันทามติจากการประชุมของเพื่อนๆ ตามรายชื่อแนบท้าย ก่อนจะเปิดเผยจดหมายนี้สู่สาธารณะ พวกเราได้พยายามติดต่อเพื่อนของเราทุกช่องทาง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ หวังว่าข้อความในจดหมายจะไปถึงเพื่อนของเรา

เขียนด้วย ปชต.ขอเคารพความเห็นต่าง

นายคณาธิประบุด้วยว่า ทุกกระบวนการในการร่างจดหมายเปิดผนึกนี้ เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย พวกเราเคารพความเห็นของเพื่อนในรุ่นทุกคน ไม่ว่าจะลงชื่อ ไม่ลงชื่อ หรือไม่พร้อมลงชื่อด้วยข้อจำกัดบางอย่าง แม้แต่เพื่อนที่ไม่เห็นด้วยกับจดหมายฉบับนี้ เราก็เข้าใจ สำนักข่าวท่านใดที่ต้องการนำเสนอข่าวเรื่องนี้ ขอให้กรุณาอ่านเนื้อหาในจดหมาย เพื่อทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของพวกเราอย่างถี่ถ้วน และขอเสนอพาดหัวสำหรับพี่ๆสื่อมวลชนว่า “จากเพื่อนถึงเพื่อน : กลุ่มเพื่อนนิเทศจุฬาฯ รุ่น 40 ส่งจดหมายถึงลูกสาวนายกฯ” พวกเราเคารพในความเห็นต่างของคนในสังคม ที่อาจจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการและเนื้อความในจดหมายนี้ แต่ขอให้พวกท่านเคารพความเห็นของพวกเราในฐานะ “เพื่อน” ด้วยเช่นกัน

จี้ลาออกทันทีรับผิดชอบล้มเหลว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื้อหาจดหมายเปิดผนึกโดยสรุปว่า “สิ่งที่อยากบอกพลอยเพลินคือพวกเราพบและประสบความทุกข์ยากมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็น “พ่อของเพื่อน”...พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่า พลอยเพลินรับรู้สถานการณ์บ้านเมืองมากน้อยแค่ไหน จึงอยากบอกให้รู้ว่าในสายตาพวกเราเห็นว่าการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์นำไปสู่ปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 การแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อการวิพากษ์ วิจารณ์การทำงานและการบริหารจัดการวัคซีนที่ล่าช้า อันเป็นเหตุให้ระบบสาธารณสุขของไทยเผชิญกับภาวะวิกฤติ คนป่วยล้นโรงพยาบาล บางคนนอนรอความช่วยเหลืออยู่ที่บ้านอย่างไร้ความหวัง มีคนนอนตายข้างถนน ผู้คนจำนวนมากบอบช้ำจากพิษเศรษฐกิจ บางคนต้องปิดกิจการ มากมายที่ต้องตกงานและหลายคนคนฆ่าตัวตายด้วยความสิ้นหวัง...พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการบริหารงานที่ผิดพลาดด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกฯโดยทันที เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารตามวิถีทางประชาธิปไตย...ลองยื่น “กำไลหินใจเย็น” เส้นเดิมส่งให้พ่ออีกครั้ง แล้วขอให้พ่อลาออกพวกเราเชื่อมั่นว่าเสียงของพลอยเพลินสำคัญต่อพ่อเสมอ”

“ไฮโซนัท” ขอโทษกลับใจไล่ “บิ๊กตู่”

วันเดียวกัน นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท อดีตสมาชิกกลุ่มนิวเดม แนวร่วม กปปส. อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตมีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโชว์ภาพชูป้ายข้อความ “บริหารโง่จนสลิ่มกลับใจ” ขณะร่วมขบวนคาร์ม็อบขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์กับกลุ่ม “สมบัติทัวร์” ต่อมาให้สัมภาษณ์ว่าหลังยุติบทบาททางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ เห็นด้วยที่คนรุ่นใหม่เรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 ปิดสวิตช์ 250 ส.ว. และเคยโพสต์เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ และได้โพสต์เฟซบุ๊กขอโทษนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. เพราะผลลัพธ์วันนี้เราได้ระบอบการเมืองที่แย่กว่าเดิม จึงต้องรับผิดชอบที่เคยมีส่วนร่วมในอดีตกับกลุ่ม กปปส.

“สิระ” บี้ ตร.เอาผิด “เต้น-ธนัตถ์”

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท ร่วมชุมนุมคาร์ม็อบ ติดสติกเกอร์ยกเลิก 112 ข้างรถว่า ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นภาพคนที่มาจากตระกูลเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่สมองคิดได้เพียงเท่านี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบภาพที่ปรากฏด้วย ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. คดีความยังไม่จบ พอได้รับอภัยโทษถอดกำไลอีเอ็มก็ออกมาก่อม็อบยุยงปลุกปั่นให้คนฝ่าฝืนกฎหมายผิดเงื่อนไขการประกันตัวหรือไม่ การชุมนุมเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ทั้งเถื่อนถ่อย ผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวใช้ระเบิด ทำร้ายร่างกาย ยุยงให้เกิดการจลาจล ต้องลากคอนายณัฐวุฒิมาดำเนินคดีเข้าคุกให้ได้ หากทำไม่ได้จะไปดำเนินการเอง ครั้งหน้าหากยังทำแบบนี้อย่ามาขออภัยโทษ

“วัฒนา” ชู ป.อาญา ม. 67 (2) อุ้มคาร์ม็อบ

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า การที่ประชาชนรวมตัวกันเป็นคาร์ม็อบ “บีบแตรไล่ผู้นำโง่” คือการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการบริหารของนายกฯ ตำรวจจะดำเนินคดีม็อบเพราะรวมตัวทำกิจกรรมเกิน 5 คน และการขับรถบีบแตรที่อาจก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชน หากจะผิดกฎหมายเป็นการทำผิดเพราะความจำเป็น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 (2) ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ” เมื่อประชาชนเห็นว่าหากปล่อยให้นายกฯบริหารประเทศต่อไป ความตายหรือความหายนะจะมาถึงตัว การออกมาไล่จึงสมควรแก่เหตุแล้ว เสียงแตรที่ห่วงว่าจะสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ประชาชนคงคิดแล้วว่าการมีผู้นำโง่สร้างความเดือดร้อนและอันตรายกว่าเสียงแตรและโควิด

“ปิยะ” ยันใช้ปืนจ่อหัวตามยุทธวิธี

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษก บชน. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ชุมนุมจากที่เกิดเหตุวันที่ 1 ส.ค. และบริเวณใกล้เคียง รวมถึงในพื้นที่นนทบุรี 10 คน และเมื่อคืนวันที่ 1 ส.ค. จับกุมได้อีก 1 คน ในบริเวณพื้นที่การชุมนุมมีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 13 นาย ส่วนใหญ่ถูกขว้างปาสิ่งของและประทัด ยืนยันการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอน และยุทธวิธีในระดับสากล ส่วนกรณีที่มีภาพของเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนลูกซองจ่อศีรษะผู้ชุมนุมที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์บนถนนวิภาวดีรังสิตนั้นเป็นรูปแบบทางยุทธวิธีที่เรียกว่า cover and contact เป็นมาตรฐานสากลที่ต่างประเทศใช้ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงการตักเตือนผู้ชุมนุมให้กลับเคหสถาน ระหว่างที่มีเจ้าหน้าที่ไปเจรจาพูดคุยต้องมีอีกคนคอยคุ้มกัน ผู้ชุมนุมบางคนอาจเป็นภัยคุกคามหรืออาจเกิดอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ได้ และปืนที่ใช้ติดสติ๊กเกอร์ชัดเจนว่า เป็นกระสุนยาง ในภาพดังกล่าวไม่ได้ยิงผู้ชุมนุม แต่ตักเตือน และไล่ให้ออกนอกพื้นที่ ไม่ได้กระทำเกินกว่าเหตุ

ตำรวจ อคฝ.ล็อกตัว “ไผ่ดาวดิน”

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน แกนนำม็อบทะลุฟ้า นำมวลชนเดินทางไปกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ร่วมคาร์ม็อบ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เพราะเข้าใจว่ามีผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ที่ บช.ปส. กระทั่งเวลา 12.30 น. กำลังตำรวจอารักขาและควบคุมฝูงชน (อคฝ.) 300 นาย ได้เข้าปิดล้อมถนนโดยรอบผ่านไปเพียง 15 นาที กำลังตำรวจ อคฝ. สามารถจับกุมตัวนายจตุภัทร์พร้อมแนวร่วม ขึ้นรถคุมขังได้สำเร็จ โดยไม่ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพขณะเข้าจับกุม ต่อมามวลชนได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “ปล่อยเพื่อนเรา” สาดสีใส่ป้ายสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต หลังจากไผ่ ดาวดิน และมวลชนบางส่วน ถูกควบคุมตัว ก่อนที่แกนนำประกาศยุติกิจกรรม

“เพนกวิน” นำมวลชนกดดัน ตชด.

จากนั้นเวลา 13.00 น. ที่หน้ากองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 (บก.ตชด.ภาค 1) ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง และนายณัฐชนน หรือณัฐ ไพโรจน์ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำมวลชนชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวไผ่ ดาวดิน โดยใช้สีสเปรย์พ่นข้อความลงบนพื้น ช่วยกันดันแนวกั้นรั้วลวดหนามทิ้งลงคลองชลประทาน จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเล็กน้อย นายพริษฐ์กล่าวว่า ตนถูกจับหรือไม่ ไม่เป็นไร ต้องการมาแสดงพลังให้มวลชนทั้งหมด รวมทั้งไผ่ ดาวดิน ที่ถูกจับกุมกว่า 20 คน กระทั่งเวลา 17.20 น. แกนนำได้ปรึกษาหารือกันแล้วประกาศยุติการชุมนุม และนัดมวลชนไปชุมนุมอีกครั้งที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ เวลา 16.00 น. วันที่ 3 ส.ค.