กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เดินหน้าปราบปรามข่าวปลอม หรือ “เฟกนิวส์” ทันที หลังจากที่นายกรัฐมนตรีสั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการกับผู้เผยแพร่ข่าวเท็จ หรือข่าวที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัว ด้วยการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหา
แต่หวังว่ากระทรวงดีอีเอสจะมุ่งป้องกันและปราบปรามการเผยแพร่ข่าวปลอมทางออนไลน์มากกว่า ไม่มุ่งหน้าป้องและปราบปราม เรื่องการเสนอข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนและประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่น่าเสียดาย ที่กระทรวงดีอีเอสต้องมาทำหน้าที่คล้ายกับตำรวจลับ คอยจับผิดข่าวที่อ้างว่าเท็จ
แต่เมื่อฟังคำชี้แจงของนายวิษณุ เครืองาม ทำให้สบายใจระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐ จะไม่ตีความกฎหมายตามใจชอบ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวว่า การเผยแพร่ข้อเท็จจริง ไม่ถือว่าผิด แต่ถ้าเป็นข้อความบิดเบือน แม้จะไม่มีในข้อกำหนดใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือเป็นความผิดกฎหมายอาญา หรือกฎหมายคอมพิวเตอร์
ในขณะที่ประชาคมโลกจ้องมองอยู่ และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ก็เตรียมเชิญผู้แทนรัฐบาลไทย เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทย โดยเฉพาะการจับกุมดำเนินคดี กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลไทยไม่ควรดำเนินนโบายที่ทำให้ชาวโลกมองว่า ไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลน่าจะรักษาภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร มีเสรีภาพเสนอข่าวสาร
นายกรัฐมนตรีน่าจะจำได้ หลังจากยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่แสดงอาการมึนตึงกับไทย สหภาพยุโรป หรืออียู 28 ประเทศ ระงับการเจรจาการค้ากับไทยทันที และกดดันประเทศไทยในเรื่องการประมงผิดกฎหมาย สหรัฐฯกดดันปัญหาการค้ามนุษย์ แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็บ่นว่าอยากปิดประเทศ
...
ประชาธิปไตยเป็นภาพลักษณ์อันดี เป็นศักดิ์ศรีของประเทศ ที่ประชาคมโลกยอมรับ ขอให้ดูพม่าเป็นตัวอย่าง ใน อดีตพม่าเคยเป็นเผด็จการเต็มใบ ถูกนานาชาติควํ่าบาตร ต้องปิดประเทศ กลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ยากจน ผู้คนนับล้านหลั่งไหลเข้ามาทำงานอยู่ในไทย พม่าเป็นประชาธิปไตยระยะหนึ่ง แต่วันนี้ปกครองด้วยภาวะฉุกเฉิน.