- วิกฤติโควิด-19 และเหตุการณ์โรงงานหมิงตี้ระเบิด ยิ่งสะท้อนถึงแนวคิดและการบริหารประเทศของรัฐบาลมากขึ้น จนเกิดการ call out เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้คนที่มีความพร้อมด้านการบริหารและมีความสามารถเฉพาะทางในการควบคุมสถานการณ์เข้ามาทำหน้าที่แทน
- แม้ “พล.อ.ประยุทธ์” ลาออก แต่ก็ยังสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง เพราะยังมีชื่อในฐานะแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐ เช่นเดียวกับ “คุณหญิงสุดารัตน์ และ ชัชชาติ” แม้ลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีสิทธิ์ได้ลุ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อ หากพรรคฝ่ายค้านรวมเสียงในสภาได้ก่อน แต่กับ “ธนาธร” ไม่มีหวังสำหรับเกมนี้แล้ว
- จะถึงขั้นยุบสภา เพราะพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวหรือไม่ อ.ยุทธพร อิสรชัย เชื่อว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากยังไม่เห็นถึงความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนนายกฯคนนอก ยิ่งเป็นไปได้ยาก เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดกติกาไว้ค่อนข้างซับซ้อน และเสียงทั้ง 2 สภา ก็มีไม่ถึง 750 เสียง
แกนนำม็อบหลายคนที่เคยเหม็นหน้ากันเมื่อครั้งรัฐบาลชุดก่อนๆ ไล่ตั้งแต่ กลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย และกลุ่มประชาชนคนไทย ยังจับมือกันปลุกมวลชนมาชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลเดียวกันว่า วินาทีนี้ไม่มีใครทนไหวกับการบริหารประเทศเหมือนรัฐราชการอีกต่อไป ทั้งเรื่องสถานการณ์โควิด-19 และอื่นๆ โดยอ้างว่าไม่เห็นหัวประชาชน
สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ถึงทางตันจริงแล้วหรือไม่ และหาก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งจริง ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
...
รองศาสตราจารย์ ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้มุมมองทางการเมืองกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจริง จะต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่จากแคนดิเดต หรือบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอเอาไว้ ในตอนที่มีการเลือกตั้งเมื่อครั้งปี 2562 ซึ่งแคนดิเดตที่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ คือ พรรคการเมืองนั้นจะต้องเป็นพรรคที่ได้เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 20 ที่นั่งในสภา ปัจจุบันเหลือเพียง 6 คนเท่านั้น ประกอบด้วย
1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐ) ที่ยังมีสิทธิ์และอยู่ในข่ายที่จะถูกเลือกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ จึงขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่รับการเสนอชื่อหรือไม่ (หากเกิดกรณีลาออก)
2.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย)
3.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย)
4.ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริ (แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย)
5.นายอนุทิน ชาญวีรกูล (แคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทย)
6.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (แคนดิเดตจากพรรคประชาธิปัตย์)
ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตจากพรรคอนาคตใหม่ ถูกตัดสิทธิ์ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 10 ปี จึงถือว่าขาดคุณสมบัติ
หญิงหน่อย-ชัชชาติ ยังมีสิทธิ์เป็นนายกฯ อยู่
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าคุณหญิงสุดารัตน์ และนายชัชชาติ จะลาออกจากพรรคเพื่อไทยไปแล้ว ก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นแคนดิเดตที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองหรือไม่
“ความเป็นพรรคไม่เกี่ยวครับ ถ้ายังอยู่ในบัญชีที่เสนอไว้กับ กกต.(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ก็จะมีการเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคุณสมบัติได้ 6 ท่านนี้ จะเป็นท่านใดท่านหนึ่งก็ได้ แล้วมีเสียงรับรองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แล้วโหวตด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของรัฐสภา ก็คือ 376 เสียงขึ้นไป ต้องรวม ส.ว. (สมาชิกวุฒิสภา) ด้วย เพราะมีอำนาจมาโหวตได้ด้วย ส่วนใครจะได้รับการโหวต จะต้องมีการคุยกันนอกรอบก่อนการประชุม ว่าจะมีการรวบรวมเสียงของพรรคการเมืองไหนบ้าง หากพรรคฝั่งไหนรวมเสียงได้มากเกินกว่ากึ่งหนึ่งของรัฐสภา ก็จะสามารถได้รับการโหวต” รองศาสตราจารย์ ยุทธพร กล่าว
นายกฯคนนอก เกิดขึ้นได้ยาก ขั้นตอนซับซ้อน
โดยขั้นตอนดังกล่าวเป็นไปตามกลไกของรัฐสภา ใน ม.272 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 เว้นแต่ว่ามีการปลดล็อกนายกรัฐมนตรีคนนอก แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะการปลดล็อกนายกฯคนนอก ต้องใช้ถึง 3 ขั้นตอน คือ
1.สมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจะต้องขอเปิดประชุม เพื่อปลดล็อกนายกฯคนนอก
2.ต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของรัฐสภา คือ 500 เสียง จาก 750 เสียง แต่ปัจจุบันสมาชิกรัฐสภามีสมาชิกไม่ถึง 750 คน
3.ต้องโหวตด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 376 เสียงขึ้นไป แต่สมาชิกรัฐสภามีไม่ถึง และกึ่งหนึ่งมีอยู่ที่ประมาณ 360 กว่าเสียงเท่านั้น จึงถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ตามกลไก ม.272 ที่กำหนดเอาไว้ อีกทั้งค่อนข้างซับซ้อนและต้องใช้เสียงจำนวนมาก
บิ๊กตู่ จะลาออก มีโอกาส 50:50 ต้องระบาดใหญ่จริงๆ
ส่วนแนวโน้มที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก รองศาสตราจารย์ ยุทธพร ระบุว่า มีความเป็นไปได้ หากสถานการณ์ของโควิด-19 คุมไม่อยู่ หรือ outbreak (การระบาด) เหมือนประเทศอินเดีย จนนำไปสู่ภาวะรัฐบาลล้มเหลว (failed government) ไม่ใช่ รัฐล้มเหลว (failed state) ซึ่งก็หมายถึง ระบบสาธารณสุข การเยียวยา และแก้ปัญหาให้ประชาชน ไปไม่ได้อีกต่อไป จนมีคนเดือดร้อนมาชุมนุมมากขึ้น แต่โอกาสยังอยู่ที่ 50 : 50 เพราะเดือนสิงหาคมนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะครบรอบ 2 ปี อาจจะมีการดึงเวลาไปก่อนจนกว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ จากนั้นค่อยยุบสภา ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า เพราะหากยังมีสถานการณ์โควิด-19 ก็จะทำให้สภาเปิดสมัยประชุมไม่ได้ และเกิดการยื้อออกไป
“โอกาสแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อว่าประมาณ 6 เดือน 3 เดือน ไม่น่าทัน เพราะว่าสภาเองยังไม่รู้ว่าจะประชุมกันได้หรือไม่ ยังมีวาระ 2 และวาระ 3 ที่ค้างอยู่ในสภา ซึ่งตอนนี้เพิ่งผ่านไปวาระแรก ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะมีประเด็นที่มีการพูดถึงกันอยู่ ว่าร่างของพรรคประชาธิปัตย์จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่” รองศาสตราจารย์ ยุทธพร กล่าว
พรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัวต้องได้เปรียบ
ขณะที่การไม่รับเงินเดือน 3 เดือน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไปจบที่ยุบสภาหรือไม่ รองศาสตราจารย์ ยุทธพร มองว่า ยังไม่เป็นเรื่องที่ชัดเจนขนาดนั้น เพราะคิดว่าเป็นกระแสแฟชั่นทำตามผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี แต่การไม่รับเงินเดือนไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะคนไทยเวลาเกิดเรื่องใหญ่ๆ มักจะแก้ปัญหาแบบไทยๆ ด้วยการทำบุญทำกุศล ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะต้องแก้ที่หลักคิด และโครงสร้างต่างๆ ก่อน
ส่วนโอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะจุดประสงค์ของการร่วมรัฐบาลครั้งนี้ คือ การเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้นหากจะถอนตัว พรรคร่วมรัฐบาลต้องมีความได้เปรียบทั้งในเชิงกติกา ที่รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขแล้ว และการสร้างผลงานในพื้นที่ ซึ่งคืองบประมาณ ปี 2565 ที่ยังรออยู่ในวาระ 2 และวาระ 3 จึงไม่มีเงื่อนไขต่อการถอนตัวในเวลานี้
“การถอนตัวตอนนี้ไม่มีผลอะไร เพราะยังไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยังไม่มีการลงมติกฎหมายสำคัญ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 65 ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะทุกพรรคก็รอ เพื่อที่จะเอางบฯลงพื้นที่ทั้งนั้น ฉะนั้นการถอนตัวยังไม่มีหรอกครับ คงไม่เห็นง่ายๆ แต่มีโอกาสถ้าสถานการณ์ Outbreak จริงๆ” รองศาสตราจารย์ ยุทธพร กล่าว
แต่ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ เกิดยุบสภาจริง แน่นอนว่าจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 90 วัน โดยจะต้องรักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่
ส่วนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ในเดือนสิงหาคมนี้ แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยุบสภาหรือลาออกไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้ ว่าไม่ให้ยุบสภาหนี หากถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ความจริงแล้วการยื่นญัตติก็ประวิงเวลาได้ไม่กี่วัน
ทางออกของประเทศจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายลงได้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็น Single command ที่มีอำนาจบริหารประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในขณะนี้.
ผู้เขียน : Supattra.l
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun