ออกมาตรการเยียวยา เลิกหยุดยาวมาตรการบริหารจัดการแก้ไขโควิด–19 ล่าสุดของ “รัฐบาลลุงตู่” ซ้ำเก่าคล้ายเดิม ไม่มีอะไรเป็นของใหม่ให้มีความหวัง กระตุกความเชื่อมั่น

หลังจากก่อนหน้านี้ออกคำสั่งยามวิกาล ปิดแคมป์คนงาน ห้ามกินข้าวในร้าน ต้องซื้อกลับบ้านสถานเดียว ห้ามชุมนุมเกินกว่า 20 คน ในเขต 10 จังหวัดควบคุมเข้มงวด จนโดนคนนินทา ลักปิด ลักเปิด เมื่อวานยังบอกจะไม่มีมาตรการอะไร แต่หลับแล้วตื่นมานึกว่าฝันไป

มาตรการขึงเชือกตึงเปรี๊ยะกลับมาอีกแล้ว เดือดร้อนกันจนนั่งไม่ติด อยู่เฉยไม่ไหว โดยเฉพาะคนหาเช้ารับประทานค่ำ

พนักงานบริการ ร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะพวกที่ไม่มีประกันสังคมรองรับ ต้องออกมาชุมนุมประท้วงเรียกร้องกันถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล งานไม่มีรายได้ก็ไม่มา แถมเงินชดเชยเยียวยาก็เหมือนฝนตกไม่ทั่วฟ้า ไอ้ที่ได้ก็จิ๊บจ๊อยไม่พอยาไส้ ไม่คุ้มกับค่าจ้างงานที่ทำแต่ไม่ได้ทำ

เป็นความเจ็บปวดระคนเคียดแค้น สิ่งที่หวังไม่เป็นดังหวัง ตั้งใจจะกลับมาลืมตาอ้าปากทำมาหากินตามปกติ คิดว่ามาตรการกำลังจะผ่อนคลายไปเรื่อยๆ ทีละเปลาะ แต่กลับตาลปัตร เจอรัดคอจนลิ้นจุกปาก

พอเหลือบมาดูปฏิกิริยาของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ยิ่งเกิดอาการ “ของขึ้น” เห็นภาพหยอกล้อตลกโปกฮา จ๊ะจ๋า นะจ๊ะๆ จนกลายเป็นกระแสบูลลี่บนโลกออนไลน์ ติดแฮชแท็กกันกระหึ่มเมือง

ทั้งที่ความจริงแล้ว “บิ๊กตู่” มีเจตนาจะทำให้เกิดความผ่อนคลายในสถานการณ์ที่กำลังวิกฤติ แต่หลายคนไม่คิดเช่นนั้น เหตุการณ์แบบนี้ยังไม่มีสลด เลยกลายเป็นเรื่องอย่างที่เห็น

ล่าสุดนายกฯเลยขอสงบปาก สงบคำ พูดกับนักข่าวให้น้อยลง น้อยใจทำอะไรก็ผิด มาตรการ “ขึงเชือก” ที่ออกมาล่าสุด ถูกโจมตีว่านอกจากจะทำให้พนักงานบริการ ร้านค้าเดือดร้อนลำเค็ญแล้ว ยังไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิดไม่ให้แพร่กระจาย

...

ควบคุมพื้นที่แต่ไม่มีการตรวจเชิงรุก ไล่ค้นหาเชื้อโรค ไม่รู้เป็นเพราะกลัวตัวเลขจะพุ่งสูงจนน่าตกใจเหมือนที่นายกฯออกมาบ่นหรือไม่

นอกจากนี้ ยังเหมือนประกาศให้คนงานรู้ล่วงหน้าว่าจะปิดแคมป์ เลยเกิดภาวะ “ผึ้งแตกรัง” คนงานแห่กลับบ้านตามต่างจังหวัดกันหมด ขืนอยู่ต่อไปก็ไม่มีงานทำ แถมยังโดนกักบริเวณในรั้วสังกะสี

แม้จะออกมาปฏิเสธ ทั้งบอกว่าทหารเข้าไปควบคุมเข้มงวดแล้ว แต่มันช้าเกินไป ภาพรถติดหนึบถนนสายมิตรภาพเหมือนเทศกาลสงกรานต์คือคำตอบ

ประเด็นนี้ถูกฝ่ายค้านจับไต๋ว่าเป็นความ “จงใจ” ตามที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปรยว่าเป็นการระบายคนออกจากเมืองหลวง

ลดปัญหาเตียงเต็ม กระจายความเสี่ยงไปทั่วประเทศ ไม่ต้องกระจุกอยู่ในเฉพาะเมืองหลวง แก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดิน รักษาไข่แดง ละเลงไข่ขาว

ตอนนี้มาออกมาตรการไม่ให้หยุดยาว ยกเลิกหยุดพิเศษวันที่ 27 ก.ค. มันก็ดูสับสนย้อนแย้ง เหมือนหลายครั้งที่ผ่านๆมา เช้าอย่าง เย็นอย่าง เหมือนภาวะอัลไซเมอร์เรื้อรัง

แต่ที่มันหนักหนาจริงๆ ดูทรงแล้วไม่จบง่ายๆ จบไม่สวยแน่ ก็บรรดาร้านอาหารต่างๆ จากก่อนหน้านี้เปิดให้กินกันในร้านได้ แต่มาตอนนี้ถูกสั่งยกเลิก ต้องซื้อกลับบ้านสถานเดียว

ผลกระทบต่างกันลิบลับ ใครไม่มาเป็นเจ้าของธุรกิจแบบนี้ ไม่มีทางรู้ ผู้มีอำนาจออกมาบ่นจะโวยวายอะไรกันนักหนา เซเลบ

ออกมาถามนั่งกินไม่ได้แล้วซื้อกลับบ้านจะตายมั้ย ยิ่งแทงใจดำ ตอนนี้ร้านค้าใช้อารยะขัดขืน ไม่สนคำสั่งห้ามนั่งกินในร้านกันแล้ว

มาตรการลักหลับ ลักปิดลักเปิด สุดท้ายจะไม่ขลัง เกิดเป็นแรงต่อต้าน เพราะยอมให้ความร่วมมือ ยอมเจ็บมาหลายที แต่ไม่จบ เจ็บซ้ำซาก และเหมือนต้องเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว

ความรู้สึกต่างๆนานาเหล่านี้ กลายเป็นภาวะสะสมในจิตใจ ถ้าย้อนศรเอาคืนรัฐบาล ศบค.กันอย่างพร้อมเพรียง ก็น่าเป็นห่วง

ครั้นจะใช้ไม้แข็งเข้าจัดการก็ดูไม่ดีแน่ แต่ถ้าขืนไม่ทำอะไร ต่อไปคำสั่งก็ไร้ความเข้มขลัง

เขาถึงบอกกันว่าการใช้อำนาจต้องมาพร้อมคุณธรรม.

ทีมข่าวการเมือง