หันไปทางไหนเจอแต่เรื่องหนักสมอง...ผมพยายามหาเรื่องเบาๆอ่านแก้เหงา เจอเรื่องแบบว่า “ไม่น่าเชื่อ” เช่นเรื่อง กรุงเทพฯสมัยมีรถไอ...อ่านแล้วยิ้มได้ ก็รีบเอามาขยายต่อ ใน “คอคิดขอเขียน” อาจารย์กาญจนาคพันธุ์ เล่าความหลัง
เมื่อครั้งท่านยังเป็นเด็กเล็ก แก้ผ้าโดดน้ำเล่น ราวปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า เคยเห็นเรือรบลำใหญ่จอดกลางเจ้าพระยา เขาเรียกกัน สมัยนั้นว่า “เรือเสือ”
สมัยก่อนหน้านั้น คนไทยไปเที่ยวเมืองฝรั่ง เห็นเรือรบลำใหญ่โตน่าพิศวง กลับมาเล่าให้เพื่อนคนไทยฟัง “เรือรบนั้น ใหญ่โตพิลึก ทำด้วยเหล็กทั้งแท่ง” ไม่มีใครเชื่อ
คนไทยเคยเห็นแต่เรือที่ทำด้วยไม้ เหล็กทั้งแท่งลอยน้ำมี อย่างที่ไหน หาว่าคนเล่าโกหก เถียงกันไม่กี่คน กลายเป็นวงใหญ่ หาคนตัดสินไม่ได้ ก็นึกถึงพระสมภารวัดใหญ่ใกล้บ้าน ชวนกันไปหา
หลวงพ่อท่านฟังแล้วก็อมยิ้ม หยิบเอาบาตรเหล็กของท่าน เดินไปวางในชามอ่างใหญ่ที่ใส่น้ำเต็ม ทุกตาเห็น “บาตรลอยปร๋อ” ก็เป็นอันว่าได้ข้อยุติ
หมดเรื่องเรือเหล็กลอยน้ำ มาถึงเรื่องสายโทรศัพท์ สมัยนั้นเรียกสายตะแล้บแก๊บ ที่มาของเรื่อง บ่าวคนหนึ่งของท่านเจ้าคุณ ราชทูตไปยุโรปกลับมา เล่าเรื่องต่างๆที่เห็นมา หลายเรื่องเพื่อน ก็อือออ
พอมาถึงเรื่องสายตะแล้บแก๊บ เขาคุยว่า อ้ายสายนี่แปลกมาก คนพูดพูดอยู่ที่หัวสายเมืองนี้ คนที่อยู่หางสายเมืองโน้น ได้ยินรู้เรื่องหมด
“อ้ายสายที่ว่า มันโตสักเท่าแขนได้ไหม?” คนฟังถาม “เล็กนิดเดียว เท่าเส้นลวด” คนเล่าตอบ “เล็กเท่าเส้นลวด มันจะมีรูกลวงได้ยังไง ไม่มีรูกลวง เส้นลวดตัน”
...
“โกหก” คนฟังว่า “ถ้าเส้นลวดไม่มีรูกลวง แล้วมันจะได้ยิน ได้ยังไง” เรื่องนี้ถึงขั้นเตะปากกัน เพราะหาคนตัดสินไม่ได้ จะไปถามสมภารวัด ท่านก็ไม่เคยไปเมืองนอก
แต่เรื่องที่ “กาญจนาคพันธุ์” จำได้แม่นยำกว่าเรื่องใด คือเรื่องรถไอ เป็นนักเรียนประถมวัดมหาธาตุ เลิกเรียนก็คลุกฝุ่นลุยโคลนอยู่ท้องสนามหลวง แล้วก็มาหลักเมือง โดดเกาะรถไอมาลงสะพานหก เกาะกันจนรู้จักกันดีกับคนฉีกตั๋ว บางวันเขาปล่อยให้อยู่ท้ายรถ จนเลยสะพานหกถึงสะพานช้างโรงสี เขาก็บอก
“ถึงห้างแบดแมนแล้ว...ลง” นั่นคือสัญญาณ ว่าเลยจุดที่เขายอมให้ขึ้นรถฟรี รถไอก็คือรถรางทาสีเหลืองอ๋อย เคยมีประวัติดัง ช่วยลำเลียงตำรวจทหาร ไปปราบอั้งยี่ปล่องเหลี่ยม ที่ถนนตก ที่เรียกรถไอเพราะตอนแรกๆ คนเชื่อว่ามันเดินด้วยไอ พอคนขับเปิดไอ มันก็วิ่งได้เอง
คนเก่าเล่าว่า ก่อนหน้านั้นมีรถใช้ม้าลาก จากท่าวังหลวงไปถึงถนนตก พอเปลี่ยนมาเป็นรถไอ ผู้คนพากันพิศวงว่ามันเดินได้ยังไง ทั้งที่ไม่มีม้าฉุดหรือคนดัน ดูยังไงๆก็ดูไม่ออก เลยลงความเห็นว่ามันเดินได้ด้วยฤทธิ์ผี
หลายคนคุกเข่าลงก้มกราบผีล้อที่หมุนราวกับจักรผัน เมื่อเชื่อกันว่าเป็นผี ก็กลัว ไม่มีใครกล้าอาจเอื้อมไปนั่ง จนวันหนึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงกับสมเด็จพระพันปีหลวง เสด็จออกจากพระบรมมหาราชวัง มาขึ้นรถไอที่หลักเมือง ประพาสไปตามถนนให้ผู้คนเห็น จึงกล้าขึ้นกันนับแต่นั้นมา
ถึง พ.ศ.2506 รถเมล์มา รถรางก็ต้องไป เรื่องไม่น่าเชื่อสมัยนั้น ก็คงเหมือนเรื่องไม่น่าเชื่อในสมัยนี้ ตอนแรกๆที่กลัวกันว่าฉีดวัคซีนแล้วอาจถึงตาย เมื่อผู้ใหญ่ระดับ
นายกฯฉีดเป็นตัวอย่าง ผู้คนก็เฮละโลฉีดตาม อภิปรายงบประมาณ มีเรื่องวัคซีนช้า วัคซีนไม่พอ ฯลฯ มีข่าวว่านายกฯจะลาออก นี่ก็เป็นอีกเรื่อง ที่ไม่น่าเชื่อ คนรู้จักท่านดียืนยัน แค่เจ็ดปีเท่านั้น ท่านสู้ได้ ยังไม่ทันเหนื่อยอะไรเลย เรื่องไม่น่าเชื่อเรื่องนี้ รู้แล้วยิ้มไม่ออกกันหลายคน.
กิเลน ประลองเชิง