“พล.อ.ประยุทธ์” ชี้ 7 มิ.ย. เป็นอีกวันประวัติศาสตร์ ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ ลั่น ต้องไม่มีจังหวัดไหนถูกทอดทิ้ง จะไม่ยอมแพ้ให้โควิด-19 ขอร่วมสู้จนประเทศได้รับชัยชนะ
วันที่ 7 มิ.ย. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์แฟนเพจเฟซบุ๊กถึงเรื่องการคิกออฟ “ฉีดวัคซีน วาระแห่งชาติ” ว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2563 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 นอกประเทศจีน จนเกิดการแพร่ระบาดขึ้น รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ และระดมทั้งบุคลากรและทรัพยากรเพื่อควบคุมสถานการณ์ ทั้งการปิดสถานที่ สถานศึกษา งดการเดินทาง ปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยว จนทำให้ธุรกิจจำนวนมากต้องหยุดกิจการ นักเรียนไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศต้องหยุดชะงัก
ด้วยมาตรการเหล่านี้ทำให้เราควบคุมสถานการณ์จนผู้ติดเชื้อลดลงจนเหลือศูนย์ได้ในเดือน พ.ค. และประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิดได้ดีที่สุดของโลก ในขณะที่หลายประเทศยังคงมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงทุกวัน แต่ประชาชนชาวไทยเริ่มกลับมาสู่การใช้ชีวิตได้เหมือนก่อน ภายใต้รูปแบบชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง แต่การต่อสู้กับโควิดนั้นยังไม่ได้จบง่ายๆ เราต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เช่นเดียวกับอีกหลายๆ ประเทศที่กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เราก็ยังต้องต่อสู้กับโควิดในระลอกนี้ในหลายพื้นที่
ในวันนี้ กว่า 1 ปีครึ่งหลังจากพบผู้ติดเชื้อคนแรกในประเทศไทย อาวุธของเราไม่ได้มีเพียงหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์เหมือนการต่อสู้ของเราในปีที่แล้ว แต่เรามีอาวุธสำคัญที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ และเอาชนะไวรัสร้ายนี้ได้อย่างเด็ดขาด นั่นคือ “วัคซีน” ซึ่งวัคซีนจะเป็นเกราะป้องกันให้คนไทยไม่เจ็บป่วยจากโรคร้าย ช่วยลดภาระการทำงานหนักของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทุ่มเทเสียสละมานานกว่า 1 ปีแล้ว
...
“วัคซีนจะเป็นกุญแจที่ช่วยเปิดประตูของประเทศให้กลับมารับนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เปิดร้านค้าทำมาหากิน และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ และวัคซีนจะเป็นพลังที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ด้วยความสำคัญของวัคซีนที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ทำให้ผมและรัฐบาล ได้พยายามอย่างเต็มที่ ทุกหนทาง ที่จะจัดหาวัคซีนโควิด-19 มาให้ได้มากที่สุด เพื่อประชาชนชาวไทย และผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ร่วมกับเราทุกคน และได้ประกาศให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ให้สำเร็จลุล่วง”
ที่ผ่านมา ฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มอาชีพเสี่ยงไปแล้วมากกว่า 4 ล้านโดส ในวันนี้เรามีวัคซีนพร้อมฉีดแล้ว 3.54 ล้านโดส ทั้งวัคซีนจากแอสตราเซเนกา 2.04 ล้านโดส และซิโนแวค 1.5 ล้านโดส และจะทยอยได้รับวัคซีนเพิ่มอย่างต่อเนื่องจากการผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย อยู่ในประเทศไทย รวมทั้งวัคซีนอื่นๆ ที่รัฐบาลจัดหามาเพิ่มตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้มอบหมายหลักการในการกระจายวัคซีน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากที่สุด คือ
1. ทุกจังหวัดจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อให้เริ่มต้นได้พร้อมกัน ไม่มีจังหวัดใดถูกทอดทิ้ง
2. จำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรรจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญคือ จำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนอาชีพกลุ่มเสี่ยง และการเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่น พื้นที่ท่องเที่ยวหรือพื้นที่เศรษฐกิจ โดยแต่ละจังหวัดจะเป็นผู้กำหนดการจัดสรรวัคซีนให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดเอง
3. ทุกคนที่จองคิวไว้แล้วจะต้องได้รับวัคซีน โดยยึดวันที่จองไว้เดิมให้ได้มากที่สุด และการดำเนินการตามวาระแห่งชาติในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคน โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดำเนินการอย่างดีเยี่ยม จนทำให้วันนี้เรามีวัคซีนอย่างเพียงพอ เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และในการดำเนินการกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศ
“ผมขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ที่ต่างดูแลรับผิดชอบ ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด และบริหารจัดการให้ประชาชนในจังหวัดของท่านได้รับวัคซีนให้ได้มากที่สุด ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ อสม. และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่อยู่ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนต่างๆ ทั่วประเทศ ที่รับภารกิจสำคัญอย่างยิ่งในการให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ซึ่งต้องดำเนินการต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน ผมขอขอบคุณที่ทุกท่านทุ่มเท เสียสละ และร่วมต่อสู้โควิดร่วมกับผมและประชาชนคนไทยทุกคนมาโดยตลอด ผมขอให้กำลังใจและขอชื่นชมท่านจากใจจริง”
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังได้ระบุทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้วันที่ 7 มิ.ย. 2564 จะต้องบันทึกไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้ในสงครามไวรัสในครั้งนี้ เป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นโต้กลับของคนไทยพร้อมกันทั้งประเทศว่าเราจะไม่ยอมแพ้ให้กับไวรัสโควิด-19 และเราจะร่วมกันสู้อย่างไม่ย่อท้อ จนกว่าประเทศไทยจะได้ชัยชนะ