วัคซีนที่ดีที่สุด คือ วัคซีนที่ฉีดได้เร็วที่สุด เสียงกระตุกสติจากแพทย์ใหญ่ ในภาวะผู้คนในสังคมส่วนหนึ่งกำลังหลงประเด็นไปผวาเรื่องผลข้างเคียง ทั้งๆที่ปัญหาใหญ่สุดคือ ประเทศไทยไม่มีวัคซีนจำนวนมากอยู่ในมือ ณ วันนี้ ยังมีแค่โควตาลอยๆ
อย่าว่าแต่เลือกยี่ห้อได้ ห้วง “นาทีชีวิต” ไฟต์บังคับมีอะไรก็ต้องฉีดไว้ก่อน
ตามหลักทางการแพทย์เพื่อให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่ร้อยละ 70 ของประชากร 65 ล้านคนทั่วประเทศไทย จุดนั้นถึงจะชูธงได้ว่าเรารอดจากมหันตภัยไวรัสมรณะ
โจทย์ใหญ่ ณ เวลานี้ รัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนโควิดให้ทันเวลา
เพราะเท่าที่เห็นตรงหน้ายังมีแค่ยี่ห้อ “ซิโนแวค” จากประเทศจีนที่ทยอยมา ขณะที่แอสตราเซเนกายังผลุบๆโผล่ๆ ของดีอย่างไฟเซอร์ยังเป็นตัวเลขลอยๆจะมาถึงไตรมาส 3-4
นอกนั้นยังแค่ดีลลมๆ ตีปี๊บปลอบขวัญไปวันๆ
เทียบกับจำนวนคนไทยที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีนลอตแรกคนสูงอายุ 60 ขึ้นไป กับผู้อยู่ในข่าย 7 โรคเสี่ยง ยังปาเข้าไปกว่า 2 ล้านราย อีกส่วนต้องเจียดไปฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ใกล้ชิดคลัสเตอร์ระบาด
โดยยุทธศาสตร์รบกับโควิด วัคซีนไทยยังขาดอีกมหาศาล
และนั่นก็สะท้อนจากความคึกคักของ “วัคซีนทัวร์” ผู้คนจำนวนมากที่สนใจโปรแกรมเดินทางไปฉีดวัคซีนโควิด–19 ในต่างประเทศที่ยินดีเปิดรับและฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีให้เลือกทั้ง วัคซีนไฟเซอร์ วันซีนโมเดอร์นา และวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
ไม่กลัวอันตรายจากผลข้างเคียง แถมพร้อมจ่ายเงินหลัก 8 หมื่นบาทขึ้นไป
ตามภาพข่าวในโลกออนไลน์ที่มีการแชร์ข้อความผู้ใช้ทวิตเตอร์ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เป็นภาพเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์เดินถือป้ายเชิญชวนฉีดวัคซีนไปตามถนน ตามออฟฟิศ สามารถเลือกยี่ห้อวัคซีนได้อีกต่างหาก
...
โดยฉากสถานการณ์มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนไทยอีกส่วนหนึ่งจึงดิ้นรนเพื่อความปลอดภัยในชีวิตให้ตัวเอง ไม่รอรัฐบาลที่ถูกมองว่าผิดพลาด ไม่เผื่อความเสี่ยงในการบริหารจัดการวัคซีน ไม่สนฝ่ายค้านที่อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ทั้งติทั้งเตือน
ด้วยอาการ “ย่ามใจ” คุมโควิดได้ดี ไม่จำเป็นต้องสั่งวัคซีนจำนวนมาก
กว่าจะ “กลับลำ” มันก็มาถึง “ทางสามแพร่ง”
ตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ประกาศปักหมุด ลุยฉีดวัคซีนให้คนไทยครบ 70 เปอร์เซ็นต์ของ 65 ล้านคน ให้ได้ในสิ้นปี 2564
ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จคุมโควิด แบบ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
ผู้นำเดิมพันหมดหน้าตัก แต่ถ้าฟาวล์วัคซีน มาไม่ทันตามกำหนด คนไทยฉีดวัคซีนช้า ภูมิคุ้มกันหมู่เกิดไม่ทันในสิ้นปีนี้ ก็หนีไม่พ้นต้องหาวเรอรอกันอีกยาว ความหวังฟื้นเศรษฐกิจ เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ห้างร้านกลับมาเปิดกิจการ ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติ
“เจ้าหญิงนิทรา” หลับใหลอีกนาน ตื่นมาก็ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม
ในวันที่คู่แข่งสำคัญในอาเซียนอย่างประเทศเวียดนามปาดหน้าแซงประเทศไทยไปแล้ว แนวโน้มนักลงทุนต่างชาติทั้งญี่ปุ่น เกาหลี จีน ยุโรป ย้ายฐานการผลิตไปปักหลัก
ตามสถานะประเทศคุมโควิดได้ดี ที่สำคัญการเมืองไม่ “เน่าใน”
เวียดนามกำลังก้าวขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอาเซียน สวนทางประเทศไทยกำลังถอยหลัง จากมหาวิกฤติโควิดฉุดศรัทธา ซ้ำด้วยเชื้อโรคร้ายแฝงการเมืองในรัฐบาลผสม
เกาะเกี่ยวกันด้วยผลประโยชน์ โดยสภาพยิ่งกว่าละครน้ำเน่า ตบจูบ เลือดกบปาก แต่พอได้สมอารมณ์หมายก็กอดคอดีกัน โควิดไม่สำคัญเท่าการดำรงอยู่ในอำนาจ
เรื่อง “ถอนตัว” จากรัฐบาล พนันขี้หมากองเดียว ไม่มีแน่

อ่านไต๋ง่ายๆตามสถานะพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกกันเป็นก๊ก กลุ่ม “อู๊ดด้า” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ก็มีแค่หลักสิบ ก๊วน “เสี่ยต่อ” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ เลขาธิการพรรค ก็แยกอีกทีม คนของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เกาะกลุ่มประปราย ไม่ทับพวก กปปส.
ถ้าถอนตัว ไม่ไปกันทั้งพรรค มีงูเห่าหักหลักการชัวร์
อารมณ์เดียวกับค่ายภูมิใจไทย ที่ซัดกันแรง ตามเสียงโวยวาย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ถูกบูชายัญเป็นแพะปมวัคซีนล่าช้า “เสี่ยโอ๋” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรค โดนบิ๊กตึกไทยฯกดดันหนักให้รับผิดชอบปมนำเชื้อโควิดทะลักถึงทำเนียบรัฐบาล
จับอาการฮึดฮัดทีมเซราะกราว เกรียนตามสไตล์ แต่พอหันไปอีกทาง มันยังมีทั้งรถไฟฟ้าสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีส้ม ขนมการบินไทย
เค้กมอเตอร์เวย์อีกหลายสาย
ยี่ห้อภูมิใจไทยกลืนเลือดได้อีกหลายอึก.
ทีมข่าวการเมือง