"บิ๊กตู่" ย้ำ ห้าม รพ.เอกชน เก็บค่าใช้จ่ายรักษาโควิด-19 ทุกกรณี ยัน รัฐมีอุดหนุน เพิ่มร้อยละ 25 ทุกรายการ เตือน ฝ่าฝืนมีโทษ เผย ครม.เห็นชอบ "เราชนะ-ม.33 เรารักกัน"

วันที่ 11 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุม ครม.ประจำวันที่ 11 พ.ค. 2564 ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อานวยการ ศบค. จะขอมารายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินมาตรการที่ได้มีการสั่งการลงไปแล้ว เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ

เรื่องที่หนึ่ง คือเรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่คลองเตย ซึ่งผมได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง และกระทบกับชีวิต ความปลอดภัยของพ่อแม่พี่น้องเป็นจานวนมาก ในเรื่องนี้ผมในฐานะผอ.ศูนย์ ศบค.กรุงเทพฯและปริมณฑล ได้สั่งการเน้นย้าให้ทุกหน่วยงานได้ระดมสรรพกำลังเข้าป้องกันการลุกลามอย่างเต็มที่ โดยมียุทธวิธีสำคัญในการเอาชนะศึกครั้งนี้ ก็คือ การระดมตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เรามีการตรวจไปแล้วมากกว่า 70,000 ราย ในชุมชนที่มีความเสี่ยง เฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน ผลที่เกิดขึ้นคือ เราสามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อ และคัดแยกผู้ติดเชื้อไปรักษาได้อย่างทันการณ์ รวมทั้งแยกผู้มีความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้ชิดไปกักตัว ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่อ จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบที่สุด สั้นที่สุด

ดังนั้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านอาจจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผล มาจากการตรวจเชิงรุกแบบปูพรมของเรา ทาให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงนี้อาจจะยังมีขึ้นมีลงอยู่บ้าง แต่ทางทีมแพทย์เชื่อมั่นว่าด้วยวิธีนี้จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และยอดผู้ติดเชื้อจากในพื้นที่จะค่อยๆ ลดลง ซึ่งล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯเริ่มทรงตัว ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี แต่เราก็ยังไม่นิ่งนอนใจ จะดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงต่อไปให้มากและเร็วที่สุด และในขณะเดียวกันก็เร่งระดมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนให้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรสะเก็ดไฟ ซึ่งจนถึงวันนี้ได้มีการฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองเตยไปแล้วมากกว่า 13,000 คน หรือเกือบ 30% ของเป้าหมายที่จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 5 หมื่นคน และพื้นที่ปทุมวันที่อยู่ใกล้เคียงได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 50% ของเป้าหมาย 14,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดได้มากกว่าวันละ 2,000 คน โดยผลการดำเนินการจากคลัสเตอร์คลองเตยจะใช้เป็นแนวทางในการจัดการกับการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตอื่นๆ ของ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดด้วย

...

สาหรับผู้ป่วยติดเชื้อ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า...รัฐบาลจะดูแลค่ารักษาพยาบาล ออกค่าใช้จ่ายให้ประชาชนทุกคนตามสิทธิ ตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การรับวัคซีนการชดเชยกรณีได้รับผลข้างเคียงการฉีดวัคซีน และการรักษาพยาบาล ในกรณีโรงพยาบาลเอกชน รัฐจะอุดหนุนค่าใช้จ่ายไปที่ รพ.เอกชน เพิ่มร้อยละ 25 ทุกรายการ  หากมีประกันส่วนบุคคล ให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลก่อน ที่เหลือให้เรียกเก็บกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย 

กรณีที่เกิดความเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบาดเจ็บ เจ็บป่วยต่อเนื่อง เสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต สามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาจาก สปสช.ได้ และยังมีค่าประกันสาหรับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเสียสละเสี่ยงภัยปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ โดยมีการทำกรมธรรม์ประกันภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ จำนวน 270,000 ราย วงเงินความคุ้มครองมากกว่า 270,000 ล้านบาท ในกรณีเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต (หรือรายละ 1 ล้านบาท แล้วแต่กรณี)

แต่ที่สำคัญที่สุด ผมต้องขอร้องให้ทุกท่านระมัดระวังตนเอง เรายังไม่พ้นจากการแพร่ระบาดในระลอกนี้ ขอให้ป้องกันตนเองให้เต็มที่ จะเห็นได้ว่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากในระลอกนี้เป็นการติดเชื้อในครอบครัว ในหมู่เพื่อนฝูง ที่ทำงาน ซึ่งเป็นการยากที่ภาครัฐจะลงไปควบคุมดูแลได้ทั้งหมด ดังนั้นหากเราจะชนะศึกครั้งนี้ได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน และเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาทุกคน ได้เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ ผมอยากให้พวกเราทุกคน รวมทั้งสื่อมวลชน มีส่วนร่วมในการช่วยชาติ ช่วยชุมชนของท่าน ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ และขอให้คำนึงถึงผลกระทบของการแชร์ข่าวสารที่ไม่รู้ที่มา ยังสงสัย ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องก่อน ก็จะสร้างความวุ่นวายสับสนให้แก่สังคม ยิ่งกว่านั้นยังมีกลุ่มคนที่เจตนา หรือไม่เจตนา สร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือ Fake News ผมขอให้หยุดการกระทาเหล่านี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเพิ่มความเดือดร้อน ความเสี่ยงให้กับตัวเอง คนรอบข้าง และประเทศชาติ โดยผมได้สั่งการและย้ำให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ และจะมีการดำเนินการทันทีหากพบการกระทำผิด ดังนั้น ผมจึงขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อประเทศชาติและส่วนรวม แล้วพวกเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้ครับ

นอกจากการควบคุมสถานการณ์ที่เป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าแล้ว สิ่งที่ผมและรัฐบาล พยายามคิดวางแผนทุกวัน ก็คือการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการปิดสถานที่ต่างๆ ผมได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดติดตามดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมสถานการณ์ในแต่ละจังหวัดให้ได้ ปิดกั้นการลักลอบเข้าประเทศอย่างสูงสุด และประเมินสถานการณ์วันต่อวัน หากจังหวัดใด โดยเฉพาะจังหวัดโซนสีแดง ที่มีการปิดสถานที่และข้อจำกัดต่างๆ มีสถานการณ์ที่ควบคุมได้ดีขึ้นแล้ว อาจพิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขต่อไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้กลับไปสู่การทำมาค้าขาย การเดินทางท่องเที่ยวได้เช่นเดิม ซึ่งผมจะพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุลทั้งทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ต้องเดินควบคู่กันไป
โดยปัจจัยสาคัญที่จะทาให้เราเดินหน้าต่อไปได้นั่นคือวัคซีน ที่ผ่านมาเราได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ รวมเกือบ 2 ล้านโดสแล้ว โดยระดมฉีดวันละหลายหมื่นโดส และจากมาตรการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาล เราจึงได้วัคซีนมาเพิ่มในเดือนนี้อีก 3.5 ล้านโดส และจะได้ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้อีกมาก ผมขอย้าว่ารัฐสามารถจัดหาวัคซีนให้กับประชากรในประเทศได้ทุกคนอย่างแน่นอน และจะไม่หยุดในการจัดหาและสารองใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน ซึ่งประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกา ซึ่งผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ได้มาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลก และจะสร้างความมั่นคงยั่งยืนในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 นี้ในระยะยาว และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันให้กับประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย / ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ผมได้เสนอให้การฉีดวัคซีนเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งการจัดหา การกระจาย ไปจนถึงการฉีดด้วย เพื่อ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทยของเรานะครับ

แต่สิ่งที่ผมกล่าวมาแล้วนั้นจะเป็นจริงไปไม่ได้เลย หากพี่น้องประชาชนในประเทศไทย ไม่มาเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผมจึงอยากขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคน มาเข้ารับการฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุด ประเทศไทยจึงจะไปต่อได้ ผมขอยืนยันว่าวัคซีนที่รัฐบาลนำเข้าทุกชนิดมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีคนฉีดไปแล้วหลายสิบล้านคน รวมทั้งผู้นาประเทศทั่วโลก โดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างยืนยันว่าวัคซีนโควิดทุกชนิดสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ส่วนโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงนั้นมีน้อยมากๆ หากเปรียบเทียบกันแล้วโอกาสในการติดโควิด และเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีสูงกว่า การฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงหลายพันเท่า และในการฉีดแต่ละครั้งจะมีแพทย์ผู้ทาการประเมินความเหมาะสม และคอยเฝ้าดูอาการหลังฉีดอีกด้วย ซึ่งผมเอง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ต่างก็ฉีดวัคซีนโควิดกันไปแล้วโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

และล่าสุดจากการเปิดลงทะเบียนยืนยันและนัดหมายการฉีดวัคซีนผ่านระบบ “หมอพร้อม” และช่องทางต่างๆ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1.6 ล้านคน สูงสุดคือ กทม. กว่า 5 แสนคน ตามมาด้วยลำปาง ซึ่งมียอดมากกว่า 2 แสนคน ซึ่งหากนับตามสัดส่วนประชากรก็ต้องถือว่าลำปางมีสัดส่วนสูงที่สุดในประเทศ นับว่ามีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม ด้วยการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร และทุกท่านที่เกี่ยวข้อง

ต้องขอชื่นชมจังหวัดลำปาง และขอเป็นกาลังใจให้ทุกๆ จังหวัด มีจำนวนผู้มาขอรับ การฉีดวัคซีนให้มากที่สุด 

ส่วนในเรื่องของมาตรการทางเศรษฐกิจที่ ครม.ได้พิจารณาในวันนี้มีหลายประเด็นที่สำคัญ เช่น “โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก” วงเงิน 45,000 ล้าน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น ซึ่งจะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์ของโควิดบรรเทาลง โดยจะมีคณะกรรมการ “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เป็นกลไกสำคัญภายใต้การติดตามของรองนายกรัฐมนตรีทุกคน

นอกจากนี้ ในวันนี้คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบกับการเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการ “เราชนะ” อีกคนละ 1,000 บาท เป็นเวลาสองสัปดาห์ ซึ่งจะมีพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จำนวนมากถึง 33.5 ล้านคน รวมทั้งการเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม.33 เรารักกัน อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์เช่นกัน และขยายเวลาของโครงการออกไปถึงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากกว่า 8 ล้านคน

ทั้งหมดนี้คือการทำงานอย่างเต็มที่ของผมและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด ในการวางแผนและดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน คลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ปากท้องของพี่น้องประชาชน เตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูอนาคตประเทศไทย และตอบรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง.