คดีจบ แต่เรื่องทำท่าไม่จบ ปฏิกิริยาทัวร์ลง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่สิ้นสภาพรัฐมนตรี เพราะคำพิพากษาศาลออสเตรเลียที่สั่งจำคุกคดียาเสพติด ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญไทย เรื่องคุณสมบัติต้องห้ามดำรงตำแหน่ง ส.ส.และรัฐมนตรีได้

เป็นคำพิพากษาศาลที่ใช้เฉพาะกับรัฐนั้นๆ ไม่ครอบคลุมมาถึงกฎหมายไทย

“ธรรมนัส” ตีปีก พ้นมลทินเรื่องลักษณะต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่ก็ยังไม่หมดวิบากกรรม ตามท่าทีของฝ่ายค้านที่ยังหาช่องถล่มต่อเนื่อง

พรรคก้าวไกล-พรรคเสรีรวมไทยตั้งแท่นยื่น ป.ป.ช.ฟันผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ขณะที่คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ก็จ้องขยี้แผลใหม่ สอบสวนเพิ่มเติมกรณีคุณสมบัติไม่ซื่อสัตย์สุจริตตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)

ปกปิดข้อมูลการติดคุกที่ต่างแดน ตอนกรอกประวัติเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี

เพิ่งเคลียร์กระทงเก่าหมดไป ก็มีกระทงใหม่เข้ามาเพิ่ม ยังหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ต้องลุ้นกันอีกหลายยก

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกประชาชนจำนวนมากที่ห้ามไม่ได้กับการเห็นต่างกับคำวินิจฉัยที่ออกมา

นักวิชาการ นักกฎหมาย และชาวโลกโซเชียลพากันตั้งคำถาม คำวินิจฉัยเปิดทางคนมีประวัติด่างพร้อยมีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้

ข้องใจขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) ที่กำหนดลักษณะต้องห้ามพวกสีเทาสีดำที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดคดีทุจริต ฉ้อโกง ยาเสพติด ไม่ให้รับตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อสกรีนคนมีจริยธรรมใสสะอาดเข้าสู่การเมือง

การบังคับใช้กติกาประเทศมีปัญหา สิ่งที่เขียนในรัฐธรรมนูญสวนทางกับภาคปฏิบัติ

เอฟเฟกต์คำวินิจฉัยเร่งปฏิกิริยาความไม่พอใจในสังคม นักการเมืองร่วมผสมโรงราดน้ำมันเข้ากองไฟให้ลุกโชนหนักขึ้น

...

ช่วยโหมกระแสความเหลื่อมล้ำ ขยายความรู้สึกสองมาตรฐานหนักยิ่งขึ้น

เลี่ยงไม่พ้นลามไปลวกมือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้สกรีนคนมาเป็นรัฐมนตรี โดนหางเลขถูกยื่น ป.ป.ช.สอบผิดจริยธรรมตั้งคนมีมลทินเป็นรัฐมนตรี

“ลุงตู่” ถูกเขย่าเรื่องปมจริยธรรมเพิ่มขึ้นอีกทาง ต่อเนื่องจากปมการแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ การแก้ปัญหาโควิดที่ติดลบในสายตาประชาชน

ชื่อ “ธรรมนัส” เป็นสายล่อฟ้า มักนำเรื่องร้อนมาสู่ตัวผู้นำ แต่อีกทางก็เป็นห้องเครื่องใหญ่ในค่ายพลังประชารัฐ ในฐานะขุนพลมือทำงานบนดินและใต้ดินให้รัฐบาลและพรรคต้นสังกัด

ชัยชนะในสนามเลือกตั้งซ่อมระยะหลังๆยี่ห้อ “ผู้กองนัส” เป็นกำลังหลักช่วยตีฐานที่มั่นคู่ต่อสู้ เพิ่มเก้าอี้ ส.ส.ให้พลังประชารัฐ

เป็นคู่แข่งสำคัญที่ทั้งคนในและนอกพรรคแช่งในใจลึกๆอยากให้ถูกโค่นออกจากสนาม

ยิ่งการรอดพ้นคดีรอบนี้ ก็ยิ่งส่งให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้น เพราะหมดรอยตำหนิให้ถูกถากถาง เปิดทางสะดวกให้ยึดทั้งเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ หรือพาสชั้นขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการในโอกาสถัดไป

แนวโน้มพลังประชารัฐปูทาง “ธรรมนัส” เป็นแม่ทัพเลือกตั้ง รอบหน้าคุมทัพใหญ่ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ไล่ขย่มพรรคร่วมรัฐบาล

กรุยทางพาทีม 3 ป.กลับมาครองอำนาจต่อเนื่อง

ภายใต้ไฟต์บังคับที่รัฐบาล “ลุงตู่” ต้องเร่งเครื่องสร้างผลงานฝ่าวิกฤติเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม จำนวนผู้ติดเชื้อทรงๆทรุดๆแตะระดับ 2,000 รายต่อวัน แต่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นน่าห่วง

สารพัดมาตรการเยียวยาลอตล่าสุดของรัฐบาล ทั้งต่ออายุโครงการเราชนะ-มาตรา 33 เรารักกัน-คนละครึ่ง รวมถึงการลดค่าน้ำค่าไฟ ดูแล้วยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

ชาวบ้านเฉยๆกับการแจกเงิน เพราะอยากได้วัคซีนมากกว่า ถึงจะได้แจกเงินมา แต่ไม่กล้าออกไปใช้จ่าย เนื่องจากกลัวติดโรค เสี่ยงทั้งอดตาย และติดโรคตาย ไม่รู้จะเจอแจ็กพอตอันไหนก่อนกัน

นาทีนี้การได้ “วัคซีน” มาทันเวลาอย่างเพียงพอคือทางรอดเดียวของประเทศ และเป็นเดิมพันชี้ขาดความอยู่รอดของ “บิ๊กตู่” เช่นกัน

ขืนยังล้มเหลวเรื่องบริหารจัดการวัคซีน และภาพพจน์รัฐบาลยังติดลบด้านจริยธรรม เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนเพิ่มขึ้น

เพราะการแก้ความรู้สึกติดลบของสังคมเคลียร์ยากกว่าทุกเรื่อง!!!

ทีมข่าวการเมือง