“ชัยวุฒิ” เผย ฝ่ายกฎหมายเตรียมดำเนินคดี “พรรคก้าวไกล” โพสต์หมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล หลังวิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดี “ธรรมนัส” ส่อผิด พ.ร.บ.คอมพ์ด้วย

วันที่ 7 พ.ค. 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยถึงกรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และรัฐมนตรี เนื่องจากคำตัดสินของศาลออสเตรเลีย ไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลไทย การวินิจฉัยคำร้องจึงไม่ตกอยู่ภายใต้ตุลาการรัฐอื่น จนเกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์อย่างมากในโซเชียลมีเดียนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากคำตัดสินอาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ได้ แต่เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วย่อมถือเป็นที่สิ้นสุด ส่วนตัวไม่ขัดข้องหากการวิพากษ์วิจารณ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล หรืออยู่บนพื้นฐานทางวิชาการ โดยไม่สร้างผลกระทบหรือก่อให้เกิดความเสียหายไม่ว่ากับตัวบุคคลหรือสถาบันใดในสังคมก็ตาม

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีดังกล่าวโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานเหตุผล แต่เป็นการใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่า จึงสุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย อย่างกรณี เพจเฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกล ที่ออกมาโพสต์ข้อความภายหลังทราบคำตัดสินของศาลด้วยการโจมตีรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าเป็น “โจรอุ้มโจร” พร้อมภาพคู่ระหว่างนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัส โดยเป็นการอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลนั้น จึงได้มอบหมายฝ่ายกฎหมายให้ตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวแล้วพบว่ามีความผิดชัดเจน เข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาท ทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลถูกดูหมิ่นเกลียดชังผ่านข้อความในโซเชียลมีเดีย ซึ่งล้วนไม่ใช่ข้อเท็จจริงแม้แต่น้อย และผู้ที่เกี่ยวข้องเตรียมดำเนินคดีแจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นประมาท และอาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วย

...

“ผมไม่เป็นห่วงฝ่ายการเมือง เพราะถือว่ามีวุฒิภาวะ รู้ผิดชอบชั่วดี และพร้อมจะรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำ แต่สิ่งที่ผมห่วงคือประชาชนทั่วไปที่อาจได้รับข้อมูลข่าวสารไม่ครบถ้วนจนแสดงความคิดเห็นที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง รวมถึงการแชร์เฟกนิวส์ ที่นอกจากจะยิ่งสร้างความไม่เข้าใจในสังคมแล้ว ยังอาจถูกดำเนินคดีอีกด้วย ที่ผ่านมาก็มีหลายกรณีเกิดขึ้นให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว”