“คลองเตย-ปากน้ำ-นนทบุรี-ชลบุรี-สมุทรสาคร-กระบี่” “คลัสเตอร์” โผล่เป็นดอกเห็ด ไล่ตามเก็บตามสกัดกันไม่ทัน อันตรายสุด ณ จุดเชื้อโควิด-19 ระบาดในชุมชนคลองเตย กรุงเทพฯ ตัวเลขผู้ติดเชื้อเบื้องต้นกว่า 300 ราย แต่แนวโน้มน่าจะบานปลายกว่านั้น ตามสภาพความเป็นอยู่แออัด ตัวเลขจำนวนผู้อาศัยปาเข้าไป 8-9 หมื่นคน โอกาสเชื้อแพร่กระจายลุกลามได้ง่ายและรวดเร็ว
แนวรบฉุกเฉินแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ผู้อำนวยการ ศบค.ต้องสั่งลุยตรวจเชิงรุก ระดมฉีดวัคซีนให้คนชุมชนคลองเตยให้ได้ 5 หมื่นคน
เพราะถ้ากดไม่อยู่ สกัดคลัสเตอร์คลองเตยไม่ได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อน่าจะไหลไปเติมยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่ขึ้นๆลงๆอยู่ในห้วง 1,000–3,000 ราย ยอดคนตายทุกวัน ไต่ระดับเกิน 20–30 ศพ
ฉากกลียุค ภาพความเป็นความตายจ่อกันจะจะอยู่ตรงหน้า โควิดมหาภัย ไม่กระจอกแบบที่คลิปตลกร้าย “น้าค่อม ชวนชื่น” ด่า “ไอ้สัส” แชร์กันว่อนโซเชียลฯ
ตอนนี้ประชาชนคนไทยไม่สนอะไรมากไปกว่า “วัคซีน” ทางรอดสุดท้าย
และมันก็เกิดขึ้นแล้วในภาวะแพนิก คนตายกลัวตายจากไวรัสล้างโลก ล่าสุดมีบริษัททัวร์หัวใส จัดโปรแกรมนำเที่ยวสหรัฐอเมริกา พร้อมกับฉีดวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
โดยการเสนอราคาหลักแสน ถ้ารวมไปเยอะๆค่าใช้จ่ายจะลดลง
แน่นอนด้วยตัวเลขค่าใช้จ่ายระดับนี้ เศรษฐี ไปยันชนชั้นกลาง มีกำลังทรัพย์จ่ายกันได้สบาย และแนวโน้มน่าจะมีลูกทัวร์แห่จองโปรแกรมกันพรึบแน่
แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทัวร์วัคซีนถูกหรือแพง
จุดสำคัญมันอยู่ตรงถ้าคนแห่จองทัวร์มหาศาล นั่นหมายถึงประชาชนคนไทยไม่เชื่อมั่น ไม่ชัวร์ในศักยภาพ ไม่รอความหวังจากวัคซีนที่รัฐบาลโดย “บิ๊กตู่” ประกาศจะลุยฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทย 65 ล้านคน ให้ทันภายในสิ้นปี 2564 นี้
...
ตีปี๊บดีลล่วงหน้า โดยที่ยังไม่มีวัคซีนอยู่ในมือแต่อย่างใด
ในขณะที่ภาคเอกชนก็ถูกเบรก รัฐบาลไม่เปิดไฟเขียวให้ช่วยวิ่งหาวัคซีนทางเลือก ท่ามกลางเหตุผลคลุมเครือ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ มันมีเหตุผลอะไรที่มากกว่าเรื่องของการไม่รบกวนเอกชนที่เดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจอยู่แล้ว แนวโน้มต้องมีอะไรในกอไผ่ กับอาการรัฐหวงก้าง ล็อกโควตาวัคซีนไว้เอง
ทั้งๆที่ยังมีแค่ “ตัวเลขลม” ไม่ได้มีวัคซีนกองอยู่ให้ผู้คนอุ่นใจ
ในสภาพการเมืองแบบไทยๆ แยกไม่ออกระหว่างผลประโยชน์เกมอำนาจ กับโคตรวิกฤติโรคระบาดระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของประเทศชาติและประชาชน
คนไทยที่มีโอกาส จึงเลือกที่จะดิ้นรนไปตายดาบหน้า
และโดยปรากฏการณ์ที่ต่อเนื่องกันเลย กับเพจเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” ที่เพิ่งเปิดมาแค่ 2–3 วัน มีสมาชิกโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เข้าร่วมล้นทะลักใกล้หลักล้าน
กระแสเปรี้ยงปร้างอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ไม่ใช่แค่มุกกระตุกเรตติ้ง อำกันเล่นๆทางการเมือง เพราะถึงขั้นที่สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ประจำประเทศไทย ยังจับกระแสความรู้สึกของคนไทยกลุ่มนี้ได้
รีบเด้งรับ โชว์ข้อมูลจูงใจให้คนไทยย้ายไปอยู่ประเทศสวีเดน ด้วยจุดเด่น สิทธิและการคุ้มครองแรงงานที่เข้มแข็ง ความเท่าเทียม การให้คุณค่ากับนวัตกรรม มีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมทุกคน
“สวีเดน” อ้าแขนรับ เพราะสแกนแล้วสมาชิกที่พาเหรดเข้าร่วมเพจ “ย้ายประเทศกันเถอะ” ล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการภาคเอกชน แพทย์ วิศวกร ระดับหัวกะทิของประเทศทั้งนั้น
ทรัพยากรบุคคลที่สำคัญต่ออนาคต การพัฒนาประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาส “สมองไหล” เยอะแน่
ตามอารมณ์ของผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด ผิดหวังกับฟอร์มบริหารจัดการของรัฐบาลภายใต้การนำของผู้นำทหารอาชีพ
เศรษฐกิจส่อฟุบเป็นเจ้าหญิงนิทรา ยากจะฟื้นในเวลาอันใกล้
ยิ่งภายใต้บริบทการเมืองที่แฝงไปด้วยความขัดแย้ง ม็อบ 3 นิ้วยืนประท้วงให้ปล่อยแกนนำที่โดนขังเพราะการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่ไร้ความหวัง มองไม่เห็นอนาคต โดยเฉพาะภายใต้การบริหารของรัฐบาลขุมอำนาจทหารเฒ่า 3 ป. ที่ส่อลากยาวตามพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญ 2560 ล็อกเหลี่ยมไว้
ไฟต์บังคับต้องฝากชะตาชีวิตไว้กับคนแก่ เด็กไม่มีสิทธิเลือกอนาคตตัวเอง
การย้ายประเทศจึงไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจลำบากเลย.
ทีมข่าวการเมือง