หลายๆวันมานี้มีข่าวว่า “หมอไม่ทน” กลุ่มหนึ่งออกมาล่าลายเซ็นเพื่อขับไล่ท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข “คุณหมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันก็มีหมอปฏิบัติการอีกหลายๆกลุ่มออกมาประกาศให้กำลังใจคุณอนุทินให้อยู่ต่อไป โดยใช้ถ้อยคำว่า#เซฟอนุทิน
ผมก็อยากจะเรียนว่าในฐานะคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับกระทรวงนี้มานานมาก เมื่อหลายๆปีก่อนผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของกระทรวงสาธารณสุข ที่อุดมไปด้วยคนเก่งๆมักจะมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่เสมอ
การทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งความคิด ความเชื่อ เป็นฝักฝ่าย อย่างน้อย 2 ฝ่าย นั้นมีมานานมากในกระทรวงนี้เท่าที่ผมจำความได้ โดยเฉพาะระหว่าง “หมอกรุง” กับ “หมอชนบท” จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
บ่อยที่สุดก็คือ ในช่วงแต่งตั้งปลัดกระทรวง ซึ่งมักจะมีตัวแทนของ 2 หมอ ที่ว่านี้เป็นคู่แข่งกันอยู่เสมอ
แต่ข้อดีของกระทรวงสาธารณสุขก็คือ เมื่อมีการแต่งตั้งเรียบร้อยแล้วไม่ว่าฝ่ายไหนชนะ...ศึกสงครามจะสงบลง...ฝ่ายที่เคยทะเลาะกันก็จะกลับไปทำหน้าที่ของตนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
ทำด้วยความขยันขันแข็งในหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และก็ทำได้อย่างดียิ่งจนประสบความสำเร็จ ทั้งภารกิจดูแลสุขภาพคนไทยในกรุง และคนไทยในชนบทด้วยกันทั้งคู่
จากนั้นอีก 2 ปี 3 ปี หรือ 4 ปี ซึ่งจะมีการแต่งตั้งปลัดกระทรวงใหม่ค่อยมาทะเลาะกันอีกที...แล้วก็เข้าสู่วงจรเดิม เมื่อทะเลาะกันเสร็จรู้แพ้ รู้ชนะกันแล้วทั้ง 2 ฝ่ายก็กลับไปทำหน้าที่ตามเดิม
งานของกระทรวงสาธารณสุขจึงเจริญก้าวหน้าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานมาเป็นลำดับตราบเท่าทุกวันนี้
...
ผมเคยเรียนท่านผู้อ่านแล้วว่าในช่วง 10 ปีสุดท้ายที่ผมทำงานที่ สภาพัฒน์ นั้น ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ให้ดูแล งานพัฒนาชนบท โดยตรง...จึงมีโอกาสได้ไปทำงานร่วมกับ กระทรวงหลักๆ ของประเทศที่มีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ในชนบทถึง 6-7 กระทรวง
ผมแอบให้คะแนนเพื่อนๆข้าราชการทุกๆกระทรวงที่ผมทำงานด้วยมาโดยตลอดและให้สอบผ่านทุกกระทรวง เพราะถ้าไม่ผ่านชนบทไทยเราคงไม่ดีขึ้นเป็นลำดับมาจนถึงทุกวันนี้
แต่กระทรวงที่ผ่านแบบ A เลย คือ กระทรวงสาธารณสุข นี่แหละ
ความประทับใจทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของผม แม้จะลาออกจากระบบราชการมาแล้วถึง 24 ปีเต็มๆก็ตาม แต่จากการติดตามระบบราชการทั้งระบบอยู่ห่างๆ แม้จะไม่ลึกซึ้งเหมือนเก่า...ผมก็ยังเห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขยังคงมีผลงานในระดับ A อยู่เช่นเดิม
แม้ว่าจะยังคงรักษาประเพณีเดิมคือ ยังมีการทะเลาะกันอยู่เนืองๆ ในเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้างอยู่ก็ตาม
จำได้ไหมครับวันแรกที่โควิด-19 ระบาดเข้าสู่ประเทศไทย และเราเริ่มเอาจริงเอาจังกันตั้งแต่เดือน มีนาคม ปีที่แล้วเป็นต้นมานั้น...ผมก็เคยออกมาการันตีฝีมือของกระทรวงนี้ว่า ต้องเอาอยู่
ซึ่งผมก็เกือบถูก เพราะในการระบาดรอบแรกเราเอาอยู่จริงๆ จากฝีมือของกระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง บวกด้วยโรงพยาบาลเอกชนได้รับคำชมจากทั่วโลก
ต่อมาการระบาดรอบ 2 และ 3 เกิดขึ้นจากฝีมือของกระทรวงอื่นๆที่หละหลวม เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาจรวมกระทรวงกลาโหมที่ดูแลความมั่นคงชายแดนบางส่วนด้วย ฯลฯ
ทำให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะแพทยศาสตร์ของทุกมหาวิทยาลัย ตลอดจนโรงพยาบาลเอกชนต้องมาจับมือกันทำงานหนักอีกครั้ง
ถูกด่าไปพอสมควรเรื่องวัคซีนล่าช้า ซึ่งความจริงแล้วหากมองอย่างเป็นธรรมจากสถานการณ์ที่พวกเขาเอาอยู่ในรอบแรกมิได้ช้าเลย หาวัคซีนมาได้ขนาดนี้ในสถานการณ์ที่แย่งกันทั่วโลก ผมก็ว่าเก่งแล้ว
เผอิญโชคร้ายระบาดรอบใหม่เจอเชื้อแรงกว่าเก่า คนป่วยมากขึ้น และเสียชีวิตมากขึ้นกว่าเก่าก็เลยโดนถล่มเละ เรื่องวัคซีนช้าอย่างที่ว่า
ก็ไม่เป็นไร เป็นลูกผู้ชายพอขอให้รับคำด่าเอาไว้ และขอให้เดินหน้าทำงานหนักต่อเพื่อแก้ปัญหาระลอก 3 ให้จงได้
ใครจะเข้าชื่อไล่ใครก็เข้าไป ขอให้ทำงานด้วยก็แล้วกันทำนองไล่ไปทำไป ผมเชื่อว่าเมื่อทั้งฝ่ายไล่คุณอนุทินและฝ่ายสนับสนุนต่างทำงานอย่างเต็มที่ละก็เราเอาอยู่แน่นอนครับ ศึกใหญ่ครั้งนี้.
“ซูม”