ย่างเข้าเดือนพฤษภาคม ฝนเดือนหกตกชุกตั้งแต่ต้นฤดู สัญญาณดี น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ แต่สัญญาณร้าย ในภาวะโรคระบาดโควิด–19 บุกเมือง โดยสภาพฝนชุกเป็นห้วงเชื้อไวรัสระบาดได้ดี และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าหนักใจกับการสกัดไวรัสโควิดลุกลาม

ตามตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายวันที่พุ่งทะลุหลัก 2 พันจ่อ 3 พันราย

แนวโน้มคงที่ แต่อีกนัยก็เป็นเพราะกระทรวงสาธารณสุขได้มีการคุมเข้มคลินิก แล็บ โรงพยาบาลเอกชนที่รับตรวจโควิด รวมถึงรถตรวจเคลื่อนที่ จากปัญหาตรวจเจอผู้ติดเชื้อจำนวนมากแล้วหาโรงพยาบาลรับช่วงไปรักษาต่อไม่ได้ จุดนี้ทำให้ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต้องรอตรวจ ณ จุดที่รัฐบาลจัดให้มีจำกัด

นั่นทำให้การตรวจล่าช้า ตัวเลขคนติดเชื้อไม่พุ่งพรวดเหมือนช่วงแรก

แต่ตรงกันข้าม มันก็ไม่มีหลักประกันในหมู่ผู้รอตรวจอาจมีผู้ติดเชื้อแฝงอยู่เป็นจำนวนมาก ประเมินจากปรากฏการณ์ “ดราม่า” ที่อาม่าติดเชื้อโควิดไม่มีโรงพยาบาลรับไปรักษา นอนเสียชีวิตอยู่ในบ้านอย่างน่าอเนจอนาถ ทั้งๆที่อาม่าไม่ได้โยงกับคลัสเตอร์ทองหล่อ ไม่ได้มีพฤติการณ์เที่ยวสถานบันเทิง ขายของชำอยู่กับบ้าน ทางเดียวที่จะรับเชื้อคือมีคนเอาเชื้อจากข้างนอกไปแพร่ให้อาม่า

นั่นสะท้อนว่าการระบาดระลอกนี้ เชื้อได้แพร่กระจายขยายวงจากคลัสเตอร์ไปไกล

ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” แฝงอยู่เต็มพื้นที่

...

ล้อตามฉากสถานการณ์โรงพยาบาลล้น เตียงไม่พอรับคนป่วย ผู้ติดเชื้อนับร้อยนับพันต้องรอลุ้นชะตากรรมอยู่ที่บ้าน ขณะที่บุคลากร อุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจ ยารักษาขาดแคลน

ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลสนาม แต่ต้องเตรียมแผนดัดแปลงห้องไอซียูสนามกันแล้ว

แนวโน้มชุลมุนตามตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดที่ดีดขึ้นเกินหลักสิบและมีคนตายรายวัน ยอดสะสมเกินหลักร้อย โดยเฉพาะคนดังอย่าง “น้าค่อม ชวนชื่น” ตลกดังขวัญใจมหาชน ต้องกลายเป็นเหยื่อโควิด ยิ่งกระตุก panic ทำสังคมขวัญผวา ไล่เลี่ยกับ ศบค.ต้องยกระดับ “ซีลเมือง” สกัดเชื้อโรคแพร่ลามหนัก

ล็อกดาวน์ “จังหวัดสีแดงเข้ม” ให้เวิร์กฟรอมโฮมยาว 14 วัน

ไวรัสมรณะขย่มศักยภาพของรัฐบาล “โจทย์โควิด” ทำ ครม.ทหารเฒ่า 3 ป. สอบตกระเนระนาด

ท่ามกลางความมืดมนอนธการ ประชาชนหมดศรัทธา หมดหวังที่จะฝากผีฝากไข้กับรัฐบาล ทนกับโควิดมาเกือบปีครึ่งยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ระดับความน่าเชื่อมั่นลดลงทุกขณะ ผู้คนไม่เชื่อคำพูดของผู้นำ ไม่สนองมาตรการรัฐบาล

ตามรูปการณ์จ่อไหลเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลว เสี่ยง fail state

มันจึงถึงจุดที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ต้องตัดสินใจปฏิบัติการ “รัฐประหารโควิด” ให้ ครม.ลงมติโอนอำนาจ 31 พ.ร.บ.ให้นายกรัฐมนตรี เหมาจัดการวิกฤติโควิดแบบเบ็ดเสร็จ

เข้าโหมด “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

เทกแอ็กชัน ชิงตัดลูกมั่วเชิงบริหารในแบบรัฐบาลผสม ต่างคนต่างทำ ต่างพรรคต่างเป้าหมายแฝงผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้การรับมือมหาวิกฤติไวรัสสะเปะสะปะ โควิดถล่มระลอกสอง ระลอกสาม เชื้อเน่าการเมืองลามผสมไวรัสโควิด ต้องเวนคืนอำนาจอยู่ในมือนายกฯ เหมือนการรับมือโควิดระบาดระลอกแรก

ฮึดสุดท้าย “บิ๊กตู่” เดิมพันหมดหน้าตัก

ยอมเสี่ยงโหลดน้ำหนักการบริหารจัดการวิกฤตการณ์โควิดไว้ที่นายกรัฐมนตรี

ท่ามกลางเสียงโห่ไล่ของ พรรคร่วมฝ่ายค้านตั้งโต๊ะแถลงอย่างเป็นทางการ ล้อไปกับกระแสสังคมส่วนหนึ่งเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง

รับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการรับมือวิกฤติโควิด

ทำให้ชีวิตประชาชนคนไทยแขวนอยู่บนความเป็นความตาย เศรษฐกิจพังพินาศย่อยยับ

ถึงจุดต้องหลีกทางให้ “มือบริหารอาชีพ” นำทีมรับมือมหาวิกฤติระดับโลก

และตามรูปการณ์ก็เหมือนจะ “รับสภาพ” ยากจะฝืนทานกระแส ตามจังหวะรวบอำนาจรัฐมนตรีทุกกระทรวงมารวมศูนย์ที่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ยังดึงนักธุรกิจ ซีอีโอยักษ์ใหญ่เข้าร่วมทีมบริหารจัดการวิกฤติโควิด ระดมทีมช่วยจัดหาวัคซีนทางเลือกแทนฝ่ายการเมือง

เสมือนดึง “มืออาชีพ” มาร่วมทีมบริหารกันกลายๆ

เพียงแต่คนนั่งหัวโต๊ะยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์อยู่เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่รู้ว่าจะช่วยกู้วิกฤติความเชื่อมั่นในตัวผู้นำได้แค่ไหน เพราะยังไม่ทันไรก็มีแถลงการณ์จากหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องกับสภาอุตสาหกรรมฯ ระบุ จากการประชุมร่วมกับรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แจ้งว่า ปริมาณวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามานั้น มีจำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทุกคน พร้อมเร่งดำเนินการในการนำเข้าวัคซีน

ภาคเอกชนจึงไม่จำเป็นต้องมีการจัดหามาเพิ่มเติม

สรุป ไม่เปิดไฟเขียวให้ภาคเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกมากู้สถานการณ์ความล่าช้าในการฉีดให้ประชาชน ที่เป็นผลจากการที่รัฐบาลไม่กระจายความเสี่ยง

การดึงซีอีโอร่วมทีม ก็แค่เพียงสร้างภาพ กระตุกความเชื่อมั่นไม่ให้ไหลรูดดิ่งเหวเท่านั้น

และในเครื่องหมายคำถาม โอกาสที่วัคซีนจะมาทันกำหนดที่ผู้นำรัฐบาลให้คำมั่นภาคเอกชน ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสให้ประชาชนตั้งแต่เดือนมิถุนายน ให้ได้ร้อยละ 70 ของพลเมือง 65 ล้านคนช่วงสิ้นปี 2564 ในทางปฏิบัติเทียบกับศักยภาพและจำนวนบุคลากรทางการแพทย์มันจะทำได้จริงแค่ไหน

แต่ที่แน่ๆนับจากนี้ “บิ๊กตู่” ต้องแบกรับแต่เพียงผู้เดียวทั้ง “ผิด” และ “ชอบ”

วิกฤติไวรัสมรณะโควิด-19 ยังลูกผีลูกคน วัคซีนชี้ชะตาผู้นำรัฐบาลทหารเฒ่า

แต่ที่ส่อโคม่าหนักไม่แพ้กันก็คืออาการไวรัสเน่าการเมืองกำเริบหนักในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ตามปรากฏการณ์แบบที่มีข่าวเบื้องหลังการประชุม ครม.นัดล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ “นอตหลุด” ฉุนรัฐมนตรีแอบนินทาลับหลัง ขู่ให้ระวังตัว เตือนมีทีมงานตามดูเฟซบุ๊กรัฐมนตรีทุกคน ถ้าได้ยินอีกจะปรับออก

จะริบโควตา ดึงมาเป็นโควตาของนายกฯ ใครมีปัญหาสร้างความเกลียดชัง ทุจริต จะเอาออก

เป็นปริศนา เดากันว่าหมายถึงใคร

จากประโยคบอกใบ้ ประกอบเงื่อนไขสถานการณ์

คนแรกมีการเล็งไปที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย ที่กำลังเกิดภาวะทางใจ กับการโดนผู้นำหักดิบ ไม่ใส่ชื่อในทีมจัดหาวัคซีนทางเลือก ผลทำให้ “หมอหนู” กลายเป็นจุดอ่อน ตัวการจัดหาวัคซีนล่าช้า กระแสไหลไปถึงขั้นโดน “หมอไม่ทน” ล่าชื่ออัปเปหิพ้น รมว.สาธารณสุข

กระตุกเสียงลูกทีมเซราะกราว โวย “เสี่ยหนู” เป็นแพะบูชายัญ

และก็เป็นนายอนุทินที่โพสต์เฟซบุ๊กระบายความในใจ ยืนยันไม่มีอำนาจ ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีมาตลอด ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.

“โยนขี้” กลับไปที่ “บิ๊กตู่” ไม่ยอมโดนล่อเป้าเดี่ยว

อีกคนก็คือ “อู๊ดด้า” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังฟัดกับทีมพลังประชารัฐ กับการส่ง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯผู้มากบารมี ไปคุมโซนจังหวัดสำคัญภาคใต้ สงขลา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ตอกย้ำเกมบุกยึดฐานที่มั่นของ ปชป.

สะท้อนมารยาททางการเมืองไม่มีในหมู่ขุมอำนาจ 3 ป.

ยี่ห้อประชาธิปัตย์กลืนเลือดจนจุกไม่ไหว “จุรินทร์” ที่เหนียมๆยังต้องออกมาสวมหัวใจสิงห์ ซัดออกอากาศแรงๆ รัฐมนตรี ปชป.ไม่พอใจคำสั่งแบ่งงานพิลึกพิลั่น กระแทกไปถึงคนโตตึกไทยฯ

เดากันว่า “อู๊ดด้า-เสี่ยหนู” ไม่ใครก็ใคร น่าจะอยู่ในข่ายที่ “บิ๊กตู่” ซัดเปรี้ยงใน ครม.

และทั้งหมดทั้งปวง โดยอาการหวาดระแวงภายในพรรคร่วมรัฐบาลที่กระฉอกออกมาภายนอก ฟ้องภาพทำงานกันแบบ

ฝืนร่วมมือ แต่ไม่ร่วมใจ อารมณ์แบบนี้ยังไงก็อยู่ร่วมกันต่อไปลำบาก

ท่ามกลางวิบาก หนทางที่เต็มไปด้วยเหวสองข้างทาง

ถึงจุดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ใครก็ใคร ต้องมีช็อตถีบหัวเรือทิ้ง เอาตัวรอด

แน่นอน ดุลอำนาจอยู่ในมือนายกฯ “บิ๊กตู่” จึงถือไพ่เหนือกว่า ในการตัดสินใจเปลี่ยนเกมอำนาจ ท่ามกลางเงื่อนไขสถานการณ์ที่โดนโควิดต้อนเข้ามุมอับ

กับภาวะวิกฤติศรัทธา ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำต้องเผชิญโจทย์โคตรโหดหิน

โควิดระบาดระลอกแรก ระลอกสอง ระลอกสามไม่มีหลักประกันระลอกสี่ ไม่รู้ระลอกสุดท้าย มันเกินฟอร์มผู้นำทหารอาชีพจะเอาอยู่

ดูทรงคงทำได้แค่รักษาศักดิ์ศรี แม่ทัพไม่ยอม “ทิ้งทวน” กลางศึก

“บิ๊กตู่” ต้องแข็งใจ ฮึดสุดท้าย ก่อนวงแตก

ตามระบอบรัฐสภา ทางออกฉุกเฉินมันก็มีอยู่ 2 ประตู นั่นคือ ยุบสภากับลาออก

แน่นอน ยุบสภา ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ท่ามกลางโควิดระบาด เสี่ยงทั้งมุมสุญญากาศอำนาจบริหาร และการแพร่ระบาดของคนออกไปเลือกตั้ง เกิดภาพกลียุคแบบอินเดีย

แถมส่อเจอ “บอยคอต” ฝ่ายค้านไม่ยอมสู้ภายใต้กติการัฐธรรมนูญ 2560 ที่เอื้อ “บิ๊กตู่” ทุกประตู

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ บีบให้เหลือแค่ประตูเดียวคือนายกฯไขก๊อก

เปรียบเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม ต้องใช้ “ครม.พิเศษ” รับมือสงครามไวรัสโควิด

เปิดทาง “ผู้นำเฉพาะกาล” ภารกิจฉุกเฉินในเวลาจำกัด จัดหาวัคซีนโควิดให้ประชาชน กู้วิกฤติเศรษฐกิจ เร่งเกมรื้อรัฐธรรมนูญตัดเส้นทางสืบทอดอำนาจ 3 ป. ชะลอเกมบุกทะลุฟ้าของม็อบรุ่นใหม่ที่กำลังจุดไฟจากปม “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม อดอาหารยอมตายในคุก

สารพัดเงื่อนไข มันกระจุกอยู่ที่ “บิ๊กตู่” คนเดียว.

“ทีมการเมือง”