รัฐ-เอกชนเดินหน้าลุย พอเห็นหน้าเห็นหลัง เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ตัดสินใจที่จะเลือกข้าราชการและเอกชนจับมือกันแก้ไขปัญหาโควิด-19 ทั้งระบบ
ตัดอำนาจ “รัฐมนตรี” ทุกกระทรวงแล้วมอบหมายให้นายกฯรับผิดชอบทั้งหมด ด้วยการสั่งการได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
อีกทั้งยังขยับงานของ ศบค.ให้มีความชัดเจน เพราะเป็นศูนย์กลางสำคัญที่จะขยับขับเคลื่อนไปทั้งระบบได้
แสดงว่าที่ผ่านมามีปัญหาความเป็น “เอกภาพ” จนรวนกันไปพักหนึ่ง
“รัฐมนตรี” ทั้งคณะก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะต่างก็อยู่กันไปใครมีหน้าที่แก้ก็แก้กันไป
อย่าให้กระเทือนถึง “เก้าอี้” เป็นใช้ได้
การประชุมครั้งแรกระหว่างรัฐกับเอกชนด้วยเป้าหมายเดียวกันคือ “ต้องรอด” มันจึงเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับประเทศไทย
ยิ่งภาคเอกชนซึ่งได้ทำการบ้านล่วงหน้าเอาไว้แล้ว จึงสอดรับกันได้ด้วยดีและรวดเร็ว จึงทำให้คนทั้งประเทศวางใจได้ระดับหนึ่ง
ทั้งการหาวัคซีนและการฉีดให้ทั่วถึงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้คือ 50 ล้านคนในปีนี้และจะเปิดประเทศให้ได้ต้นปี 2565
เป็น “เดิมพัน” สำคัญของทุกคนไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
ที่เคยแนะนำหอการค้าให้คำนึงถึงต่างจังหวัดด้วยไม่ใช่แค่กรุงเทพฯเท่านั้น เพราะทุกองคาพยพล้วนเชื่อมต่อกันทั้งหมด
แต่ดีที่แต่ละจังหวัดนั้นมีกลไกของภาคเอกชนรองรับอยู่แล้ว คือหอการค้าจังหวัด ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอยู่แล้ว
หากประสานกันอย่างแนบแน่นได้อย่างนี้ก็พอจะมองภาพชัดเจนขึ้น
ต้องยอมรับว่าทั้งเอกชนและรัฐนั้นต่างก็มีกลไกทำงานไม่ต่างกันเพียงแต่หน้าที่และความรับผิดชอบที่ต่างกัน
...
ที่สำคัญคือไม่สามารถแยกส่วนกันได้
โควิด-19 นั้นเป็นโรคระบาดที่แพร่เชื้อถึงคนได้อย่างไม่เว้นไม่ว่าคนรวย-คนจนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้
เช่นกันผลกระทบที่เกิดขึ้นก็โดนกันถ้วนหน้า
หลังความร่วมมือนี้ปรากฏมี 2.6 พันบริษัทแห่จองเพื่อฉีดวัคซีนให้กับพนักงานก็เท่ากับในส่วนของเอกชนนั้นเขาจัดการกันเองได้
พนักงานบริษัทนั้นถือเป็นกลไกสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นแต่ละบริษัทก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้
“บิ๊กตู่” ที่กำลังเจอการเมืองเล่นงานจนงอมพระรามคงพอตั้งหลักได้ เมื่อตัดสินใจปรับขบวนกันใหม่เพื่อจัดการกับโควิด-19
แม้ว่ากำลังถูกการเมืองรุกไล่แทบทุกวัน แต่หากตั้งหลักได้และแก้ไขปัญหาที่บรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม
ก็น่าจะเอาตัวรอดก้าวข้ามไปได้
เสริมฐานอำนาจให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
“นักการเมือง” ก็แค่ตัวประกอบในฉาก...เท่านั้น.
“สายล่อฟ้า”