คณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดต่อโควิด-19 ที่มี ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีต รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ประกอบด้วยภาครัฐและเอกชน จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจาก พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา หรือ กระทรวงสาธารณสุข ในการบริหารจัดการวัคซีนโดยตรง ทั้งหมดนี้ยังต้องขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข เอากันจริงๆเป็นคณะทำงานที่เข้ามาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือแก้หน้าเท่านั้น
คำนวณจากเวลาวัคซีนจำนวน 63 ล้านโดส ที่ประเทศไทยสั่งซื้อเข้ามาจากบริษัทยาต่างประเทศที่มีอยู่ในเวลานี้ ประเด็นแรก กระทรวงสาธารณสุขได้มีใบรับรองวัคซีนไปแล้วกี่ชนิดกี่บริษัท ประเด็นต่อมาจะทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดหรือไม่ เพราะ วัคซีนจำนวน 63 ล้านโดสที่สั่งเอาไว้ เวลานี้เพิ่งจะทยอยเข้ามาเพียง 2.117 ล้านโดส การที่ประกาศว่าในเดือน มิ.ย.เป็นต้นไป จะฉีดวัคซีนให้ได้เดือนละ 5-10 ล้านโดส และสามารถฉีดให้ประชาชนได้ 31.5 ล้านคนจนครบ ในขณะที่ตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกจะฉีดวัคซีนให้ได้ประสิทธิภาพจะต้องฉีดให้ประชากรไม่ตํ่ากว่าร้อยละ 60 ประเทศไทยเท่ากับ 40 ล้านคนเป็นอย่างน้อย ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่ามีชาวต่างชาติ แรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่ในประเทศไทย อีกจำนวน 4-5 ล้านคน จะต้องใช้วัคซีนอีกเท่าไหร่
ในขณะเดียวกันการพัฒนาของโควิด-19 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา นอกจากสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์อังกฤษ ที่พบแล้ว ไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 3 ที่มีการกลายพันธุ์เรียบร้อยคือ สายพันธุ์อินเดีย กำลังมาแรง รวมถึงการฉีดวัคซีนจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน จะมีผลข้างเคียงแค่ไหน และจะต้องฉีดเพิ่มอีกกี่โดส จะเป็น 3-4 โดสหรือไม่เพื่อให้ได้ผลจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อคำนวณดูแล้ว วัคซีน ไม่พอกับความต้องการแน่นอน
...
ที่สำคัญคือเราไม่มีทางเลือก เราไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือทางด้านวัคซีนในฐานะที่เป็นประเทศที่ยากจน เราไม่สามารถที่จะสั่งซื้อวัคซีนตามที่เราต้องการได้ อาจเพราะเรามีพันธมิตรจำกัดหรือมีงบ ประมาณจำกัดหรือเป็นเพราะทั้งสองอย่าง และเรายังไม่สามารถที่จะผลิตวัคซีนเองได้
ปัญหาที่เราประสบในเวลานี้คือ กระทรวงสาธารณสุขไม่คิดที่จะพึ่งพาและมั่นใจในผลิตภัณฑ์ในประเทศ แต่กลับมุ่งมั่นที่จะใช้วัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศเท่านั้น
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุว่า กรมการแพทย์แผนไทยได้จับมือกับ 9 โรงพยาบาลของรัฐศึกษาวิจัย ฟ้าทะลายโจร ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการรุนแรง ร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน พบว่าส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นและไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง
และมีงานวิจัยว่า กระชายขาว สมุนไพรไทย โดยทีมวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาฯ และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาพบว่า กระชายขาวมีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของโควิด-19 ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ยับยั้งเซลล์ในการผลิตไวรัสได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ แต่ภาครัฐกลับเพิกเฉย ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนกับการสนับสนุนกัญชาในการรักษาโรคที่ผ่านมา.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th