ตามประกาศสงกรานต์ของฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง นางสงกรานต์ ทรงนามว่า “รากษสเทวี” ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมราภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูลพระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังวราหะ (สุกร) เป็นพาหนะ
ทำนายว่า จะเกิดอันตรายกลางเมือง เพลิงภัยและโจรผู้ร้าย ผู้คนจะเจ็บไข้นักแลฯ
ที่แน่ๆด้วยภาวะอากาศที่ร้อนตับแตก ดีกรีระอุแดดล้อไปกับอุณหภูมิการเมือง ตามท้องเรื่องเข้าเค้าประวัติศาสตร์ “สงกรานต์เดือด” มักมีเหตุเภทภัยปั่นป่วนในบ้านเมือง
ห้วงอาถรรพณ์ฉากแลกเลือด ยุทธการห้ำหั่นเกมอำนาจ
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ไหลเข้าโหมดเผชิญหน้า จ่อแนวปะทะหักเหลี่ยมโค่นกระดานรัฐบาล
ล้อไปกับอาการ โฟกัสอารมณ์ของผู้หลักผู้ใหญ่ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผรุสวาท “ไอ้ห่า” ใส่นักข่าวชายที่ถามปมป่วนการเปลี่ยนเลขาธิการพรรค พปชร.
...
ต่อเนื่องกับอาการ “กระฟัดกระเฟียด” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ไม่พอใจนักข่าวสาว นั่งไขว่ห้าง ระหว่างฟังการแถลงข่าวของผู้นำ
หงุดหงิดง่าย ขัดหู ขัดตา ขัดใจ สะท้อนปมเครียด “น้องเล็ก–พี่ใหญ่” 3 ป.
จากสารพัดโจทย์ปัญหากดทับ รัฐบาลติดหล่มชักจะขยับไม่ออก
ตามสภาพเสียงในสภาล้นเหลือ “พลังฝักถั่ว” แน่นปึ้กทั้ง ส.ส.รัฐบาล งูเห่าฝ่ายค้าน ที่สยบใต้อุ้งท็อปบูต ทหารเฒ่า 3 ป. บวกกับ “250 ส.ว.ลากตั้ง” นั่นไม่เท่ากับแผนลากยาวอำนาจยังไหลไปตามเส้นทาง ค่ายกลคัมภีร์ “ซือแป๋มีชัย” ยังยากที่ใครจะรื้อรัฐธรรมนูญ
อารมณ์แบบที่ผู้นำ “ย่ามใจ” ท้าให้แก้รัฐธรรมนูญให้ได้ หากจะหยุดสืบทอดอำนาจ
ดุลอำนาจอยู่ในมือ “บิ๊กตู่” และทีมอำนาจ 3 ป. เต็มๆ
แต่นั่นกลับตรงกันข้าม สถานการณ์การบริหารที่ “ไปไม่เป็น” ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เลย
โดยเฉพาะจุดบอดปมด้อย “เศรษฐกิจ” มหาวิกฤติโควิดล้อมเมือง อาการไม่ได้กระเตื้องมีแต่ทรงกับทรุด ล่าสุดการประชุมเครียดใน ครม.นัดล่าสุดที่ต้องใช้เวลานานผิดปกติ
แล้วก็เป็นนายกฯที่ยอมรับเลยว่า ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาถึงเรื่องความเสี่ยงของสถานะการเงิน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมีการระบาดของโควิด–19 และช่วงที่ผ่านมาที่เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
แบะท่า แบไต๋ สถานการณ์การเงินประเทศไม่น่าไว้วางใจ
ตามรายงานข่าวต่อเนื่องออกมาตามสื่อตรงกัน ในที่ประชุม ครม.กระทรวงการคลังได้รายงานภาพรวมเศรษฐกิจที่เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า และงบประมาณที่มีอยู่ก็จำเป็นต้องใช้แก้ปัญหาสถานการณ์โควิด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถึงขั้นที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมฯให้ความเห็นในที่ประชุมว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat จาก 7 เปอร์เซ็นต์ นั้นขอให้พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา อย่ากังวลจะเป็นประเด็นการเมือง เพราะใครที่เข้ามาก็กลัวประชาชนคัดค้าน แต่ในบางประเทศเลือกที่จะขึ้นภาษีในช่วงโควิดเพื่อนำรายได้ไปเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชน
เริ่มหนี “ความจริง” ไม่พ้น รัฐบาลโดนสถานการณ์ “ถังแตก” บีบเข้าเส้นทาง “ลุยไฟ”
“รีดภาษี” เติมคลังหลวงยอบแยบ มีแต่รายจ่ายไหลออก
แล้วก็ตามฟอร์ม พอสื่อพาดหัวตัวโตกระตุกเสียงฮือสังคม ก็เป็นนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ที่รีบยืนยันว่า ภายใน 2 ปีนี้จะไม่ขึ้นภาษี
ไม่มีสัญญาณใดๆที่บอกว่ารัฐบาลจะถังแตก
ตามด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ยืนยันสำทับรัฐบาลยังไม่ได้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราภาษีใดๆรวมทั้งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม การเก็บแวตอัตรา 7 เปอร์เซ็นต์ที่จะครบกำหนดสิ้นเดือนกันยายนนี้ ก็จะขยายอัตราเดิมออกไปอีก 1 ปี
ทีมเศรษฐกิจทหารเฒ่า 3 ป. ออกตัวกันล้อฟรี ไม่กล้าแตะ “แวต” ร้อนๆ
แต่นั่นก็ไม่แน่จะยันไว้ได้นานแค่ไหน ตามสภาพแห่งความเป็นจริง แม้ผู้นำรัฐบาล รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจจะช่วยกันปฏิเสธปากสั่น “รัฐบาลถังไม่แตก”
อีกทางก็หลอกตัวเองไม่ได้ ว่าถังรั่วจนเก็บเงินไว้ไม่เหลือ
จากสารพัดมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง– เราชนะ–เรารักกัน ฯลฯ” วนกัน 2–3 รอบ รัฐบาลต้องโปรยเงินประคองปากท้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดล้อมเมือง
กู้เงินมาแจก มีแต่รายจ่าย ไม่มีรายได้ เดี๋ยวก็ถึงจุดน็อกรอบ
และมันคือไฟต์บังคับ คำตอบที่ล่าสุด ครม.โดย ศบศ.ต้องเปิดไฟเขียวให้มีมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการระบาดของโรคโควิด–19 เพื่อการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว
เริ่มวันที่ 1 เมษายน 2564 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา พัทยา เชียงใหม่ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและใบรับรองการฉีดวัคซีน (vaccine certificate) สามารถที่จะกักตัว 7 วัน ภายในโรงแรมก่อนที่จะออกจากโรงแรม ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ลดลงจากการกักตัวปกติที่กำหนดไว้ 14 วัน
“เสี่ยง” เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โอกาสหารายได้จุนเจืองบประมาณ
ในสภาพการณ์ที่ประชาชนคนไทยยังฉีดวัคซีนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ คลัสเตอร์ระบาดโผล่ต่อเนื่อง แม้แต่ในต่างประเทศเองล่าสุดฝรั่งเศสก็ต้องปิดเมืองสกัดโควิดระบาดระลอก 3
เมื่อวัคซีนยังไม่ปลอดภัย การเปิดประเทศท่องเที่ยวก็ยังหวังผลอะไรไม่ได้
ที่แน่ๆโดยสภาพคลังยอบแยบ ถ้าประเทศไทยเกิดเหตุโควิดระบาดระลอก 3 ถือว่าจบเห่
และนั่นก็จะไหลเป็นสูตรธรรมชาติ เมื่อประชาชนลำบาก ภาวะเดือดร้อนเศรษฐกิจปากท้องจะแปรผันตรงกับปรากฏการณ์ม็อบไล่รัฐบาล
ตามจังหวะเคลื่อนไหวเกมมวลชนอย่างมีนัยสำคัญ
โฟกัสสัญญาณคลื่นความถี่ที่ “จูนตรงกัน” จากผู้นำความคิดระดับ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้นำเสนอบทความแฝงปริศนาเป็นนัย “คนฝูงหนึ่งกำลังทำโอกาสให้เป็นวิกฤติ คน 2 คน ไม่ทำให้วิกฤติเป็นโอกาส”
พร้อมเฉลย คนหนึ่งนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อีกมุมหนึ่งก็เป็นการโผล่กลับมาของแกนนำม็อบอาชีพอย่าง “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ หัวขบวนแนวร่วมเสื้อแดง นปช.ที่ประกาศนำธงไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อเนื่องกับ “เดอะเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง นปช.ที่เพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวทันที พร้อมสู้เคียงข้างมวลชนรุ่นใหม่
“ตู่-เต้น” รีเทิร์นเกมมวลชน ในอารมณ์คน “ตาสว่าง” จากเรือนจำ
มันจึงน่าจะมีอะไรมากกว่า “สู้แล้วรวย” อย่างที่ทีมไอโอทหารเฒ่า 3 ป. ปรามาส
ในจังหวะเคลื่อนไหวของแนวร่วมมวลชนราษฎร กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ชุมนุมเชิงสัญลักษณ์รายวัน กดดันให้ปล่อยตัวแกนนำที่โดนขังอยู่ในเรือนจำ
เด็กเปี่ยมพลังอุดมการณ์ ขาดแต่ผู้นำเชิงยุทธศาสตร์
และพร้อมๆกับการเปิดหน้าของ “ตู่–เต้น” ก็มีการประกาศผ่านเพจแนวร่วมมวลชนรุ่นใหม่ นัดชุมนุมไฟต์อุ่นเครื่อง 4 โมงเย็นวันที่ 4 เมษายน รวมพลอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม
ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย
ขณะที่ “ตัวกลั่น” อย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ประกาศคิกออฟ เดินหน้าล่าชื่อประชาชนทั่วประเทศล้านคนแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ล้มระบอบทหารเฒ่า 3 ป.
คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ จูนพลัง ตั้งท่าโละ “ตัวปัญหา” อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ออกจากจุด “ล็อก” อำนาจ
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ โอกาสไหลไปสู่จุด “หักดิบ” เข้าไปทุกขณะ
เศรษฐกิจโควิดปั่นไม่ขึ้น ไวรัสมรณะล้อมเมือง ม็อบล้อมรัฐบาล ตามสภาพการณ์นักการเมืองอาชีพหูผี จมูกมด ต้องรีบขยับตามป้ายไฟ EXIT ทางออกฉุกเฉิน วิถีธรรมชาติการเมืองระบอบรัฐสภา
“ผู้นำสุดทางลาก” ก็ต้อง “ยุบสภา” ปรับดุลอำนาจกันใหม่
ในจังหวะเขี้ยวๆแบบที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เหลี่ยมปั่นราคา โหน “เสี่ยฉิ่ง” นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทย ตีปี๊บ สถาปนาเป็นโต้โผป้อมค่ายใหม่
ล็อกเป้าสปอตไลต์การเมืองฉายไปที่ปลัด “ฉ” คนมีของพิเศษ
เชิดฉิ่งโหมโรงเวทีเลือกตั้งกันในที
สถานการณ์พอดิบพอดีกับ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง กดปุ่มเปิดป้ายพรรคไทย-สร้างไทย ตามติดด้วย “เสี่ยอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ก็ปักหมุดพรรคเส้นทางใหม่ นายนคร มาฉิม แกนนำสายตรงดูไบ ก็ประกาศออกจากพรรคเพื่อไทย ตั้งพรรคเอง
ทีมดูไบแยกทาง แตกแบงก์ 500 แบงก์ 100 แบงก์ 20
เมื่อเกมแตกแบงก์พันไม่เข้าเป้าตามกติการัฐธรรมนูญบูดๆเบี้ยวๆ
และที่ไม่เกี่ยวกับยุทธการแตกแบงก์พัน แต่จำเป็นต้องรีบลงเสาเข็ม เตรียมขึ้นป้ายพรรคใหม่เหมือนกัน สำหรับทีม 4 กุมาร นำโดยนายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล “เทคโนแครต” สายตรงของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือเศรษฐกิจ
สถานการณ์การเมืองขึงพืด ขืนคิดช้า เสี่ยงออกตัวไม่ทันตามกติกาสังกัดพรรค
เดี๋ยว “สินค้าขึ้นห้าง” ค้างเติ่ง เสียของฟรี.
“ทีมการเมือง”