ไผ่ ดาวดิน และ ไมค์ ภาณุพงศ์ เบิกความเป็นพยานศาล กรณี ทนายอานนท์ เขียนจดหมายร้องทุกข์ ยืนยันผู้คุม มาที่ห้องขังหลายรอบ พยายามพาตัวไปตรวจโควิดยามวิกาล จนสุดท้ายย้ายผู้ต้องขังอื่นออกไปหมด เหลืออยู่ 7 คน เผยเคยฟังเรื่องเล่า นักโทษถูกพาออกไป แล้วไม่ได้กลับเข้ามา รวมทั้งเรื่องหมอหยอง-พ.ต.ต.ปากรม ที่เสียชีวิตในเรือนจำ 


วันที่ 22 มีนาคม ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคำร้อง คดีดำหมายเลขที่ อ.287/64 ครั้งที่ 2 กรณี นายอานนท์ นำภา แกนนำราษฎร ที่เขียนจดหมายคำร้องเล่าเหตุการณ์เกรงจะได้รับอันตราย ถูกทำร้าย

โดยวันนี้ ศาลได้เบิกตัว นายอานนท์ นำภา, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นพยานเบิกความ

ทั้งนี้ นายภาณุพงศ์ เบิกความในฐานะพยาน สรุปได้ว่า วันที่ 15 มี.ค. ที่เกิดเหตุนั้น เมื่อตนกับพวกนั่งรถตู้ของกรมราชทัณฑ์มาถึงเรือนจำ ได้ผ่านการล้างมือตรวจคัดกรอง และผ่านการค้นตัวเปลี่ยนชุด และนำตัวไปยังแดน 2 ห้องคุมขังหมายเลข 7 ซึ่งไปถึงเป็นเวลาช่วงหัวค่ำแล้ว ตนและพวกจึงได้ปูที่นอน กระทั่งดูโทรทัศน์จนถึงเวลา 21.30 น. เมื่อทางราชทัณฑ์มีการปิดทีวีแล้ว อีกประมาณ 5 นาที ก็ปรากฏมีเจ้าหน้าที่หลายคนมายังห้องควบคุม เพื่อต้องการแยกพวกตน 3 คนไปยังสถานพยาบาล ได้แก่ ตนเอง, นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ และ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ พวกตนได้ปฏิเสธ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเวลาดึกแล้ว และต้องการพักผ่อน ขอเลื่อนไปตรวจพรุ่งนี้แทน เจ้าหน้าที่ก็กลับไป

จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่พยาบาล มาขอตรวจโดยการใช้สำลีป้ายจมูก เพื่อนำสารคัดหลั่งไปตรวจโควิด แต่พวกตนปฏิเสธ เนื่องจากตนกลัวว่าจะมีป้ายยาอย่างอื่น หรือวางยา และตนได้ผ่านการตรวจคัดกรองมาแล้วเบื้องต้น เจ้าหน้าที่จึงกลับออกไป

...

ต่อมา เวลาประมาณ 00.15 น. ของวันที่ 16 มี.ค. มีเจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์จำนวนมาก และเจ้าหน้าที่พยาบาลมาขอตรวจโควิด โดยครั้งนี้จะตรวจทุกคนทั้งหมดในห้องขังหมายเลข 7 ที่มีประมาณ 20 คน ซึ่งทุกคนยินยอมตรวจหมด ยกเว้นพวกตน 7 คนได้แก่ ตนเอง, นายอานนท์ นำภา, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้, นายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ และ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข

จนเวลาประมาณ 02.00 น. มีผู้คุมใส่ชุดกากี และชุดดำมากกว่า 15 นาย รอบนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่พยาบาลมาด้วย แจ้งว่าจะขอย้ายพวกตนทั้ง 7 คนไปยังเรือนพยาบาล จากที่เคยแจ้งว่าจะขอย้ายเพียง 3 คนในครั้งแรก พวกตนจึงเกิดความรู้สึกกังวลและกลัว เนื่องจากเคยฟังข่าวว่า มีการแยกผู้ต้องขังไปทำร้ายในเวลากลางคืน อย่างเช่น นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ซึ่งทั้งสองคนเสียชีวิตภายในเรือนจำ

นายภาณุพงศ์ เบิกความด้วยว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้แยกผู้ต้องขังคนอื่นในห้องที่มีการตรวจสารคัดหลั่งแล้ว ไปยังห้องควบคุมที่ 10 ทั้งที่ผู้ต้องขังห้องที่ 10 ยังไม่ผ่านการตรวจโควิดแต่อย่างใด หากจะคัดแยกการตรวจคัดกรองโรคจริง ไม่น่าจะกระทำเช่นนั้น ในห้องขังเหลือเพียงพวกตน 7 คนเท่านั้น ทุกคนรู้สึกกลัวมาก นายปิยรัฐเลยอาสาเฝ้าเวรจนถึงเช้า จากนั้นพอเช้าแล้ว ก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งไปตรวจโควิดแต่อย่างใด พวกตนทั้ง 7 ยังคงถูกคุมขังอยู่ที่ห้องเดิม

ด้าน นายจตุภัทร์ หรือ ไผ่ เบิกความแถลงต่อศาลช่วงต้นลักษณะคล้ายกันกับนายภาณุพงศ์ แต่มีใจความเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณี ตอน 02.00 น. ของวันที่ 16 มี.ค. มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ประมาณ 20 คน ทั้งใส่ชุดสีกากีและใส่ชุดดำไม่ติดป้ายชื่อ มาพร้อมกล้องวิดีโอ 2 ตัว และกล้องถ่ายภาพนิ่ง 1 ตัว โดยมาขอย้ายทั้ง 7 คนไปเรือนพยาบาล ซึ่งขณะนั้นตนเห็นว่าผิดปกติ จึงได้นำสมุดมาจดรายละเอียดตามช่วงเวลา และขอถามชื่อผู้คุมที่ไม่ติดป้าย แต่เขาไม่บอก คราวนี้ไม่มีพยาบาลติดตามมาเหมือนครั้งก่อนๆ ด้วย พวกตนจึงปฏิเสธ และรู้สึกผิดวิสัย เนื่องจากใน 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการพยายามนำพวกตนออกจากห้องคุมขังหลายครั้ง เมื่อถามว่าทำไมถึงย้ายในเวลานี้ ก็ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งตนเกิดความกลัว เนื่องจากมีเพื่อนผู้ต้องขังเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องขังถูกนำออกไปจากห้องในยามวิกาลเช่นนี้เพื่อไปทำร้าย บางคนได้รับบาดเจ็บกลับเข้ามา บางคนก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

โดยจำเลยทั้ง 2 ยังได้ยืนยันกับศาลว่าในตอนเช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ไม่ได้นำตัวจำเลยทั้งหมดไปตรวจโควิดตามที่ได้แจ้งกับจำเลยไว้เมื่อคืนตอนเกิดเหตุ

จากนั้นศาลได้ประกาศพักเที่ยง และจะไต่สวนในช่วงบ่ายต่อ

ต่อมา ในช่วงบ่ายเวลา 13.30 น.ศาลได้เบิกตัวนายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะผู้ควบคุมดูเเลเหตุการณ์ตามหนังสือคำสั่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์มาไต่สวน ได้เบิกความสรุปว่า ได้รับแจ้งด้วยวาจาว่า จะมีผู้ต้องขังจากเรือนจำพิเศษธนบุรี มาคุมขังไว้อย่างเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตนในฐานะผู้ควบคุมดูแลจึงได้แจ้งกำชับว่าเรือนจำพิเศษธนบุรีอยู่ใกล้กับตลาดบางแค ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเพราะเรือนจำพิเศษธนบุรีมีพื้นที่อยู่ใกล้เคียงกับตลาดบางแค และมีการรับตัวผู้ต้องขังใหม่ในพื้นที่ตลาดบางแคเข้ามาทุกวันผู้ต้องขังที่ย้ายมาจากเรือนจำดังกล่าวจึงเข้าข่ายที่จะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ที่จะต้องแยกกักขังตรวจโรคในสถานพยาบาลชั้น 2

โดยกลุ่มเสี่ยง จะแบ่งแยกออกเป็นสองประเภทคือ 1.กลุ่มที่มีไข้ 2.กลุ่มที่ลอยู่ในพื้นที่เสี่ยงและใกล้เคียง โดยตนได้สั่งการไปยังผู้อำนวยการส่วนสวัสดิการฯ โดยกำชับว่าอย่าลืมจัดพื้นที่ตามนโยบายกักกันโควิด จากนั้นจึงได้รับทราบจากผู้อำนวยการส่วนฯอีกท่านหนึ่งว่า การเจรจา ที่จะให้ผู้ต้องขังที่ย้ายมาใหม่ทั้ง 3 ย้ายไปกับตรวจโรคในสถานพยาบาลนั้นได้รับการปฏิเสธ โดยผู้ต้องขังยืนกรานไม่ย้าย ทางทางผู้อำนวยการส่วนผู้ต้องขังยังได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ หากมีการใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมอาจจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและเป็นประเด็นที่เจ้าหน้าที่อาจจะถูกร้องเรียน จึงได้มีการใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อเป็นไปตามแนวทางป้องกันโควิด โดยจัดชุดทีมแพทย์ตรวจสารคัดหลังไปยังที่คุมขังตอนช่วงเวลาใกล้ 22.00 น. ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานตามปกติในการตรวจโควิด

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เคยมีการดำเนินการตรวจโควิดในเรือนจำลักษณะนี้มาแล้วอย่างเช่นในครั้งที่มีการตรวจผู้ต้องขังจำนวน 27 รายซึ่ง 1ใน 27 รายนั้นมีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย 1 ราย ในการตรวจโควิดดังกล่าวมีการตรวจถึงเวลา 01.30 น. แต่ในการตรวจครั้งนี้ มีผู้ยอมรับการตราจโควิด 9 รายเเละได้รับการปฏิเสธไม่รับการตรวจจากผู้ต้องขัง 7 ราย

เมื่อเจรจาไม่สำเร็จ ชุดทีมแพทย์จึงออกจากพื้นที่เวลาประมาณ 24.00 น. เศษ และมีความจำเป็นที่จะต้องย้ายผู้ต้องขัง 9 คน ที่ยอมตรวจออกไปกักตัวยังห้องควบคุมอื่น จึงมีการเรียกกำลังมาเพื่อรักษาความปลอดภัยและความเรียบร้อย โดยมีการเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ ตามบันทึกรายงานที่เเจ้งมายังตนจำนวน 12 คน แต่งชุดเครื่องแบบสีกากีและชุดปฏิบัติการพิเศษ เป็นเสื้อแขนยาวสีดำในเครื่องแบบ ซึ่งตามระเบียบไม่ได้กำหนดให้ใส่ชื่อที่อก

"เหตุผลที่ไม่ติดชื่อเป็นไปตามทัณฑวิทยา ยกเว้นหัวหน้าชุดที่ต้องติดป้ายชื่อ การย้ายผู้ต้องขังทั้ง9เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เเต่มีผู้ต้องขัง 7 คนที่ยืนกรานว่าจะอยู่ด้วยกัน เพื่อความสงบเรียบร้อยจึงให้มีการยุติการปฎิบัติหน้าที่และมีการกำชับห้ามไม่ให้ใช้กำลังจนเสร็จสิ้นภารกิจเวลาประมาณ 02.00 น. เศษ จึงมีการถอนกำลังออกไป”

นายแพทย์วีระกิตติ์ เบิกความต่อว่า การตรวจโควิดดังกล่าวเป็นโดยเปิดเผยที่หน้าห้องกักโรคมีลูกกรงผู้ต้องขังคนอื่นสามารถเห็นการทำงานได้มิได้เป็นการพาไปตรวจยังสถานที่อื่น ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้ต้องขังปฏิเสธการตรวจโควิด โดยการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ได้มีการถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานว่าไม่มีการใช้ความรุนแรง ซึ่งยืนยันว่าการตรวจโควิดในช่วงเวลากลางคืนเป็นเรื่องที่ทำได้และทำอยู่เสมอโดยเฉพาะผู้ต้องขังที่มาจากพื้นที่ความเสี่ยงสูงเพราะเท่าที่ผ่านมาพบว่าผู้ต้องขังส่วนมากไม่แสดงอาการ 90% การคัดกรองโรคก่อนเข้าเรือนจำจึงมีความจำเป็นมาก จนปัจจุบันในพื้นที่เรือนจำยังไม่มีการแพร่เชื้อระบาดกันเองแม้แต่รายเดียวเพราะเรามีมาตรการคัดกรองโรคดังกล่าว

ภายหลังรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์เบิกความเสร็จ ศาลได้เปิดคลิปวิดีโอซึ่งถูกส่งมาเป็นวัตถุพยานต่อหน้า นายอานนท์ และผู้ได้รับอนุญาตเข้ารับฟังการพิจารณาคดี ซึ่งในคลิปวีดีโอมีการถ่ายทอดภาพและเสียงในห้องควบคุมในเรือนจำซึ่งเห็นกลุ่มจำเลยดังกล่าว

หลังเสร็จสิ้นการไต่สวน ศาลได้นัดฟังคำสั่งอีกครั้งในวันที่ 29 มีนาคม 2564 ช่วงบ่าย