รัฐธรรมนูญจอดป้าย กฎหมายประชามติก็ถูกเลื่อนโฉมหน้ากติกาประเทศฉบับใหม่ถูกห้ามแจ้งเกิด ลากยาวยิ่งกว่าหนังชีวิต

ตามซีนที่ ส.ส.พลังประชารัฐ ส.ว.รุมทำแท้งร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ห้ามลืมตามาดูโลก พลิกเกมกะทันหันกลางดึก จากที่อภิปรายหน้าดำคร่ำเคร่ง ยื้อกันเกือบค่อนวัน ขวางการลงมติวาระ 3 ทุกทาง

จู่ๆถูกนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ หักดิบ ชงโหวตวาระ 3 กันทันทีทันใด ชนิดที่เพื่อนร่วมพรรคก็ยังไม่รู้คิวล่วงหน้า

เหลี่ยมอำมหิตทำแท้งรัฐธรรมนูญตัดตอนตั้ง ส.ส.ร.เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ให้เหลือเชื้อค้างเติ่ง มีลมหายใจฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ได้

โอกาสดีไซน์พิมพ์เขียวประเทศฉบับใหม่ตามกลไกในสภายากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา

ในมุมที่ฝ่ายกุมอำนาจคำนวณทิศทางลมแล้ว กล้าเสี่ยง “ลุยไฟ” ล้มโต๊ะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลืมลมปากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัญญาไว้

เพราะประเมินแล้ว “เอาอยู่” สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งในและนอกสภา

...

ตามรูปการณ์ในปัจจุบันที่ “ม็อบ 3 นิ้ว” แผ่วปลาย ทำได้แค่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โชว์อีเวนต์ไป-กลับ

พลังงานถดถอยไม่สามารถสร้างแรงกดดัน หรือยกระดับสร้างความสั่นสะเทือนกระทบเสถียรภาพ “บิ๊กตู่” ได้ในห้วงที่หัวโจกม็อบหลายรายถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ ทำให้การเคลื่อนไหวไม่มีพลังเข้มแข็งเหมือนเก่า

รัฐบาลเพียงแค่คอยคุมเชิงการชุมนุมไม่ให้เลยเถิดไปสู่ความรุนแรงเกินเหตุ

ขณะที่สถานการณ์ในสภาเริ่มนิ่ง การปรับ ครม.ลงตัว ฉากปรับใหญ่จบลงที่การปรับเล็ก เพื่อบล็อกแรงกระเพื่อม โผ ครม.ปิดกล่องเรียบร้อย เหลือแค่ขั้นตอนตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีใหม่

คลื่นลมสงบไม่มีพายุอารมณ์จากกลุ่มผู้ผิดหวังฟาดงวงฟาดงาตามมา

หนทางข้างหน้าค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีเรือใบโรยตะปูระหว่างทางมากนัก แม้กระทั่งรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลที่กินแหนงแคลงใจกัน กรณีคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังอยู่ในวิสัย

มองหน้ากันติด ไม่ขยับไปสู่ความขัดแย้งขั้นรุนแรง

อย่างที่ 2 บิ๊กบอสพรรคร่วมรัฐบาล “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ท่องสคริปต์ตรงกันเป๊ะ ยังไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล

เต็มที่ก็ทำได้แค่ว้ากด่ากลางสภา เล่นเกมปาหี่ และวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุม แต่ไม่กล้าแตกหักแยกทางกันเดิน ยังต้องหวานอมขมกลืน กล้ำกลืนฝืนทนกันต่อไป

อย่างที่ “เสี่ยหนู” ยอมรับตรงๆไม่เห็นด้วยกับที่มา ส.ว. แต่ต้อง

อดทนรอเวลา 5 ปี ให้บทเฉพาะกาลหมดลง ไดโนเสาร์ก็จะไปเอง จะไปชักใบให้เรือเสียทำไม

แบะท่ายอมจำนนรับสภาพกติกาตกเป็นเบี้ยล่าง

ภูมิใจไทย–ประชาธิปัตย์ทนถูกตราหน้า เล่นละครตบตา

ประชาชน แต่ไม่กล้าถอนตัวออกจากรัฐบาลเพราะอย่างน้อยการได้เสพอำนาจยังดีกว่าเปลี่ยนที่นั่งเป็นฝ่ายค้าน

ทนรับสภาพการถูกหักหลัง ตบหัวแล้วลูบหลัง ล้มแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แล้วเสนอให้แก้ไขเป็นรายมาตราแทน โดยที่ยังไม่รู้เป็นความหวังลมๆแล้งๆหรือไม่

เพราะเส้นทางการขอแก้ไขรายมาตราก็สาหัสสากรรจ์ไม่แพ้การยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เพราะจะต้องผ่านด่านพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว.ให้ความเห็นชอบในการออกเสียงด้วย

หาก 2 กลุ่มที่คุมเกมแก้รัฐธรรมนูญอย่าง “พลังประชารัฐ–ส.ว.” ไม่ปล่อยไฟเขียวให้ผ่าน การแก้รายมาตราก็ถูกคว่ำกระดานไม่ต่างจากการแก้ทั้งฉบับ

โดยเฉพาะหากไปรื้ออำนาจ ส.ว. ริบดาบโหวตเลือกนายกฯ ก็ยิ่งยากที่ ส.ว.จะยอมปิดสวิตช์ตัวเอง

ยิ่งถ้าไปแก้ไขเรื่องเกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และศาลก็ยิ่งวุ่นหนัก นอกจากจะหักด่านพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว.ให้ได้แล้ว ยังต้องไปลุ้นฝ่าด่านประชามติอีกทาง

จะแก้รายมาตราทั้งที ฝ่ายค้านคงไม่แก้แค่ประเด็นหน่อมแน้ม

แต่คงพุ่งเป้าใหญ่เล่นงานตัดแขนตัดขากลไกที่เป็นองคาพยพช่วย “ลุงตู่” เรืองอำนาจ

ดูสภาพแล้วเหนื่อยหนัก เส้นทางวิบากไม่ต่างจากการยกร่างใหม่

ตัวอย่างเห็นอยู่ทนโท่ การแก้ไขทั้งฉบับ อุตส่าห์โฆษณาชวนเชื่อเสียดิบดี สุดท้ายถูกแหกตา ขณะที่การแก้รายมาตราก็ไม่มีหลักประกันให้ความมั่นใจจะได้รับความร่วมมือจากพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว.หรือไม่

ยิ่งขืนไปทุบหม้อข้าวยุ่มย่ามในประเด็นอำนาจที่รัฐบาลหวงแหน ก็ยิ่งมีโอกาสถูกตีตกสูง

อาจถูกลูกเล่นทีมศรีธนญชัยในสภาหลอกแกงซ้ำซาก!!!

ทีมข่าวการเมือง