ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ นอกจากศาลจะวินิจฉัยว่ารัฐสภามีหน้าที่และอำนาจ ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว ศาลยังได้วินิจฉัยกรณีที่มีผู้ร้อง 2 คน ขอให้วินิจฉัยว่าการที่สมาชิกรัฐสภาเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเดิมรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภา เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย
ผู้ร้องรายแรกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหานายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและคณะ เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 และนายวิรัช รัตนเศรษฐ กับคณะเป็นผู้ถูกร้องที่ 2 ถูกกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง ยังไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอ และยังห่างไกลเกินเหตุที่จะเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย ถือเป็นคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุด
ถ้าศาลวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องกระทำผิดจริง เรื่องอาจไม่ยุติลงแต่ไม่รับคำร้อง หรือสั่งให้ผู้ถูกร้องยุติการกระทำ แต่อาจมีการฟ้องร้องเป็นคดีอาญาในข้อหากระทำการเป็นกบฏ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติหรืออำนาจบริหาร มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต มีสมาชิกรัฐสภาเกือบทั้งสภาตกเป็นจำเลย
แต่ต้องถือว่าเป็นคราวเคราะห์ดี ที่ศาลไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย ซึ่งอาจทำให้เรื่องราวบานปลายเป็นคดีกบฏ มีสมาชิกรัฐสภาตกเป็นจำเลย 570 คน กลายเป็นความโกลาหลทางการเมือง แต่เรื่องยังไม่ได้จบแต่ผู้ร้อง 2 ราย ยังมีอีกรายหนึ่งขู่ว่าจะร้องต่อ ป.ป.ช. กล่าวหา ส.ส. และ ส.ว.จำนวนมากในข้อหาทุจริต
...
ส.ส.และ ส.ว.ที่อาจถูกร้องต่อ ป.ป.ช. ในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ ได้แก่ทุกคนที่ลงมติสนับสนุนญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้ผ่านการออกเสียงประชามติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าต้องถามประชาชนก่อน จึงจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่ ส.ส. ผู้ลงมติก็อาจโต้กลับว่าการลงมติคือการปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนปวงชน
ส่วนผู้ร้องอาจถูกกล่าวหา ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. อาจต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด แต่เชื่อว่าการร้องกล่าวหาล้มล้างระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะมีต่อไปไม่จบสิ้น แม้ศาลจะไม่รับคำร้อง แต่น่าแปลกใจ ไม่มีใครร้องคณะรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญและรัฐบาลของจริง.