คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการจัดทำและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ให้ความรู้ทางการเมืองหลายอย่างแก่ประชาชน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาล เป็นการยืนยันว่าความปกติของการเมืองไทย รัฐธรรมนูญไม่ได้ฉีกง่ายกว่าแก้ไข ไม่ต้องมีรัฐประหารก็แก้ได้

สองปีนับแต่มีการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นต้นมา พิสูจน์ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ 2560 แก้ไขยากที่สุด หลายคนถึงกับปลงตกว่าแก้ไขไม่ได้ เพราะถูกล็อกไว้แน่นหนาทุกด้าน เพื่อรักษาอำนาจของรัฐบาลที่สืบทอดมาจากคณะรัฐประหาร สองปีที่ผ่านมา รัฐสภาแก้ไขมาตรา 256 มาตราเดียว ก็ยังไม่ได้

แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะจัดทำใหม่ทั้งฉบับก็ได้ แต่ต้องทำประชามติถามประชาชนเสียก่อน เพราะประชาชนเป็นผู้มีอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ ทั้งประเด็นที่ว่ารัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และประชาชนมีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นความรู้ใหม่

เนื่องจากไม่เห็นมีรัฐธรรมนูญฉบับใด บัญญัติไว้ชัดเจนในลักษณะนี้ แต่ รัฐธรรมนูญทุกฉบับ (อาจยกเว้นของคณะรัฐประหาร) เขียนไว้ตรงกันว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” แต่ไม่เป็นจริงในโลกแห่งความจริง แม้แต่อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ที่ศาลรับรอง แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มอบให้องค์กรอื่น

รัฐธรรมนูญ 2560 มอบอำนาจบางส่วน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ 250 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร เสียงข้างมากของรัฐสภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เป็นรายมาตรา) ได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว.อย่างน้อย 1 ใน 3 คือ 84 เสียงขึ้นไป มิฉะนั้นจะถูกควํ่า แม้ 500 ส.ส.จะเห็นด้วยทั้งสภา

...

“ความรู้ใหม่” อีกอย่างหนึ่งที่ได้รับจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ส.ส.ร. 200 คน แม้จะมาจากการเลือกตั้ง จะไม่มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ อย่างเป็นอิสระจากรัฐสภา แม้ ส.ส.ร.จะเคยยกร่างมาแล้ว อย่างน้อย 4 ฉบับ สอดคล้องกับความเห็นของ ส.ส. แกนนำรัฐบาลบางส่วน ที่ยืนยันว่า ส.ส.ร. ไม่มีสิทธิ

นักวิเคราะห์การเมือง แนะนำคอการเมืองทั้งหลายให้จับตาดูการประชุมรัฐสภา ในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ที่ประชุมจะพิจารณาว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาราคาซังมาเกือบ 2 ปี และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประชาชนอาจจะได้เห็นใครจริงใจในการแก้ไข ใครสวมหน้ากากเล่นปาหี่.