แม้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่าน ความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 2 เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า การ แก้ไขรัฐธรรมนูญ จะผ่านแบบฉลุย เพราะยังมีอุปสรรคขวากหนามอีกมาก ขวากหนาม แรกคือ การที่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ กับ ส.ว.บางคน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส.ส.ร.มีอำนาจจัดทำร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่

เป็นการเพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยการแก้ไขอำนาจของรัฐสภา ทั้งๆที่รัฐสภามีอำนาจในด้านนิติบัญญัติทั้งปวง ตามรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ถูก คสช.ฉีกทิ้ง ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจวินิจฉัยก็ต่อเมื่อเกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ระหว่างรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอื่นซึ่งไม่ใช่ศาล

แต่รัฐธรรมนูญ 2560 เจ้าปัญหา เปิดช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แม้จะไม่มีความขัดแย้ง ศาลรัฐธรรมนูญต้องฟังความคิดเห็นของอดีตกรรมการและกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 4 คน ขวากหนาม ต่อไปคือ การลงมติร่างแก้ไขในวาระที่ 3 จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว.อย่างน้อย 84 เสียง นี่คือรัฐธรรมนูญฉบับพิสดาร

พิสดารเพราะว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่านในวาระสุดท้าย ผู้ชี้ขาดคือ เสียงข้างน้อยของ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้ชี้ขาดด้วยเสียงข้างมากของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง และ มี ส.ว.บางคนยกประเด็นขึ้นมาว่า นอกจากห้าม ส.ส.ร.แตะต้องพระราชอำนาจ ในหมวดที่ 1 และ 2 แล้ว ยังห้ามแตะพระราชอำนาจอื่นด้วย

พระราชอำนาจอื่นๆที่เรียกกันว่า 38 พระราชอำนาจ อาจเป็นข้ออ้างที่ ส.ว.อาจไม่ยอมผ่านร่างแก้ไข ในวาระที่ 3 วาระสุดท้าย น่าจะหมายถึงพระราชอำนาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง พระราชอำนาจตราพระราชกำหนด พระราชอำนาจประกาศกฎอัยการศึก เป็นต้น ซึ่งไม่น่าจะมี ส.ส.ร.คนไหนคิดที่จะแก้ไข

...

เพราะเป็นพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ที่ระบุว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ยิ่งกว่านั้นรัฐธรรมนูญยังบัญญัติว่า บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา ฯลฯ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนอง และเป็นผู้รับผิดชอบ

หลักการเกี่ยวกับพระราชอำนาจ ดังกล่าว มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ไม่มีการแก้ไข แม้จะมีรัฐธรรมนูญมาถึง 20 ฉบับ เป็นพระราชอำนาจที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงใช้ด้วยพระองค์เอง แต่ทรงใช้ผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เชื่อว่าจะไม่มี ส.ส.ร.คนใดลักลอบแก้ไข ที่สำคัญก็คือ รัฐสภาและประชาชนจับตาดูอยู่.