พรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4 วัน 4 คืน โดยถล่มหนัก ทั้งนายกรัฐมนตรีและ 9 รัฐมนตรี แต่ล้มรัฐมนตรีไม่ได้แม้แต่รายเดียว อย่างมากก็แค่สั่นคลอน แต่คำพิพากษาศาลอาญา ที่สั่งจำคุกแกนนำ กปปส.หลายสิบคนทำให้รัฐมนตรีตกเก้าอี้พร้อมกันถึง 3 ราย และเปิดทางสู่การปรับปรุงคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะปรับใหญ่หรือปรับเล็ก แต่มหกรรมการวิ่งเต้นได้เปิดฉากขึ้นแล้ว ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ 90 คน เข้าชื่อยื่นหนังสือผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. คัดค้านการนำ “คนนอก” มาเป็นรัฐมนตรี แต่มีข่าวสองผู้ยิ่งใหญ่เห็นต่างกันอยู่

หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์เห็นว่าควรปรับคณะรัฐมนตรีควรแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่จากผู้เชี่ยวชาญ ส่วน พล.อ.ประวิตร ให้แต่งตั้งจาก ส.ส. คงจะต้องหารือกันต่อไป แต่ต้องถือเป็นโอกาสอันดีที่จะปรับ ครม. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขวิกฤติ ทั้งวิกฤติโควิด เศรษฐกิจและการเมือง

จะปรับโดยแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ หรือตั้ง ส.ส.เป็นรัฐมนตรี ก็แล้วแต่จะเห็นควร แต่จะต้องยึดหลักความรู้ ความ สามารถหรือหลักคุณธรรม ไม่ใช่ยึดหลักระบบอุปถัมภ์เพื่อนพ้องน้องพี่ โดยไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถและความเหมาะสม มีข้อเสนอแนะจากนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้าง ให้ยกเครื่องทีมเศรษฐกิจ

รองประธานสภาองค์การนายจ้าง อยากให้นายกรัฐมนตรีดึงคนที่มีความรู้จริงมาบริหารเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เศรษฐกิจฐานราก เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป แต่มาตรการที่รัฐบาลออกมาส่วนใหญ่เน้นช่วยผู้ประกอบการและคนระดับกลาง ควรปรับรัฐมนตรีพาณิชย์และแรงงาน

...

การปรับ ครม.ต้องมุ่งความรู้ความสามารถ ความเหมาะสม และประสิทธิภาพในการทำงาน และไม่ใช่ทีมเศรษฐกิจด้านเดียว เพราะประเทศประสบวิกฤติหลายด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่การปรับ ครม.เพื่อประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาให้ประเทศ และประชาชน จะเป็นไปไม่ได้ ถ้ายังยึดระบบพวกพ้อง

โดยมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ยึดโควตากลุ่ม และโควตา ส.ส.พรรค โดยไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ และควรพิจารณาด้วยว่าในการปรับใหญ่ครั้งนี้ ควรปรับนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่รวบอำนาจไว้ที่ตัวเองทุกอย่าง เป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และหัวหน้าทีมปราบปรามโควิด-19.