เป็นไปตามความคาดหมาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติให้ปรับพื้นที่การแพร่ระบาดของโควิด ลดระดับลงไปอยู่ในขั้นปลอดภัยหรือสีเขียวมากขึ้น แต่ยังให้ขยาย พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป จนถึงวันที่ 31 มีนาคม เพื่อบูรณาการหน่วยงาน

ศูนย์ข้อมูลโควิดระบุว่า ที่ประชุม ศบค.มีมติให้คงพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด เหลือเพียงจังหวัดเดียวคือ สมุทรสาคร ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุดจาก 4 จังหวัด เหลือศูนย์ ลดพื้นที่ “ควบคุม” จาก 20 จังหวัด เหลือ 8 จังหวัด รวมทั้ง กทม.และจังหวัดปริมณฑล และยกพื้นที่ปลอดภัยหรือสีเขียว จาก 35 จังหวัด เป็น 54 จังหวัด

แต่ยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั่วประเทศ ไว้เหมือนเดิม แม้สถานการณ์โควิดจะลดลงไปมาก โดยอ้างว่า “เพื่อบูรณาการในหน่วยงาน” ไม่ทราบหมายถึงอะไร เมื่อหลายเดือนก่อนรัฐบาลประกาศว่า จะแก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อ เพื่อให้รัฐมีอำนาจเท่าเทียม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการป้องกันและรักษาโรค แต่เงียบหายไป

แสดงว่ารัฐบาลยังมีความยินดี ที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันและปราบปรามโรคระบาดต่อไป ทั้งๆที่เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อปราบปรามการก่อการร้าย เพื่อฟื้นฟูความสงบในภาคใต้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ไม่ตรงกับโรคโควิด และไม่ยอม แก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อให้ตรงกับโรคโควิด รัฐบาลต้องการปิดปากผู้เห็นต่าง หรือปราบโรคกันแน่

รัฐบาลกำลังจะทำให้ไทยทั้งประเทศ อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินตลอดไป เช่นเดียวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ วิกฤติโควิดที่ระบาดทั่วโลกครั้งนี้ มีประเทศประชาธิปไตยบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ทำแบบจำกัดเฉพาะพื้นที่ระบาด เช่น กรุงโตเกียว และจังหวัดใกล้เคียง และยกเลิกเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น

...

ในขณะที่มีการชุมนุมทางการเมืองมานานแรมปี กฎหมายยอดนิยมที่รัฐบาลชอบใช้มากที่สุด ได้แก่ พ.ร.บ.ชุมนุม สาธารณะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ม.112 อ้างว่า การชุมนุมอาจทำให้โรคระบาด แต่ที่ผ่านๆมา ไม่เคยเกิดการแพร่ระบาดจากการชุมนุมแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นการแพร่ระบาดจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ

ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดรอบแรก ที่มีสนามมวยลุมพินีเป็นแหล่งแพร่เชื้อระดับซุปเปอร์สเปรดเดอร์ หรือการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศและบ่อนพนันในภาคตะวันออก หวังว่าจะไม่เอาแบบอย่างพม่า ที่ใช้ประกาศสภาวะฉุกเฉินเป็นกลไกยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง และสถาปนาผู้นำกองทัพเป็นผู้นำรัฐบาล.