กมธ.ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนะ รมว.ทส.ขอรัฐอย่าผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับชาวบ้านบางกลอย เสนอผลักดันด้วยกระบวนทัศน์ใหม่ ยอมรับ สิทธิชนพื้นเมือง ในการจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แก่งกระจาน
วันที่ 22 ก.พ. นายอภิชาติ ศิริสุนทร ประธาน กมธ.ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ส.ส.ก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก Apichat Sirisoontron - อภิชาติ ศิริสุนทร ยัน ห่วงสถานการณ์ ชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ป่าแก่งกระจาน แนะ "วราวุธ" รมว.ทส. ผลักดัน ด้วยกระบวนทัศน์ใหม่ ป่าอนุรักษ์ ด้วยการยอมรับสิทธิชนพื้นเมือง ในการจัดการป่าอนุรักษ์
รัฐอย่าผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับชาวบ้านบางกลอย
...ความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นป่าแก่งกระจาน (กรณีชาวบ้านเดินทางกลับ “ใจแผ่นดิน”)
...จากกรณีที่รัฐเปิด "ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร" สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนในพื้นที่เกิดความตึงเครียดขึ้นจากปฏิบัติการสนธิกำลังของเจ้าหน้าที่ในเช้าวันนี้
ผมในฐานะประธานกรรมการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฏร มีความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ และมีข้อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่า ควรฟังข้อมูลรอบด้านทั้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ภาคประชาชน องค์กรระหว่างประเทศ เพื่อถ่วงน้ำหนักกับวิธีคิดของราชการ และควรตระหนักเสมอว่า “เราไม่สามารถผลักดันป่าแก่งกระจานให้เป็นมรดกโลกได้ หากยังมีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่”
...
เพราะฉะนั้น รูปแบบการจัดการป่าอนุรักษ์ที่ยอมรับสิทธิชุมชนดั้งเดิมของชนชาติพันธุ์ ในพื้นที่ คือ “โอกาส” ไม่ใช่อุปสรรคในการผลักดันป่าแก่งกระจานให้เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายใดๆ ควรคำนึงถึงปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples) ที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 143 ประเทศ ที่ลงมติเห็นชอบ
...ผมกังวลเป็นอย่างยิ่งถึงการบิดพลิ้วข้อตกลงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ทำไว้กับประชาชน ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 และอาสาขอลงพื้นที่ร่วมไปกับทีมของท่านรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนของสภาที่มาจากประชาชน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการลงพื้นที่และนำข้อมูลที่ปราศจากอคติมาร่วมกันแก้ปัญหา
และอยากจะชวนให้สังคมขบคิดถึงการแก้ไขปัญหาชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์ที่ผ่านมาว่า “เมื่อวิธีคิดผิดและล้าสมัยนำไปสู่การจัดการป่าอนุรักษ์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง” ใช่หรือไม่
และเราควรปรับวิธีคิดก้าวให้พ้นความคิด “ป่าปลอดคน” เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนใช่หรือไม่
ถ้าใช่...ทั้งนี้ผมอยากจะขอเสนอข้อเสนอในระดับนโยบายดังต่อไปนี้
- รัฐมนตรีควรผลักดันนโยบายด้วย “กระบวนทัศน์ใหม่” ของพื้นที่ป่าอนุรักษ์ (New paradigm’ for protected areas) ที่วางอยู่บนหลักการของการยอมรับสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในการจัดการป่าอนุรักษ์ หรือที่เรียกกันว่า พื้นที่ป่าอนุรักษ์ของชนพื้นเมืองและชุมชน (Indigenous People’s Protected Areas and Community Conserved Areas-- ICCAs)
-วางแนวนโยบายใหม่ด้วยการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างยั่งยืน ต้องรับรองสิทธิในที่ดินทำกินตามวัฒนธรรมแก่ชุมชนชาติพันธุ์ รับรองสิทธิร่วมในการจัดการที่ดินให้กับชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์แทนการให้รายบุคคล ส่งเสริมทางการเกษตรแบบยั่งยืนในพื้นที่ อาทิ เกษตรปลอดสารพิษ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเดิมจากวัฒนธรรมประเพณีอย่างมหาศาล สร้างสวนป่า สร้างรายได้ที่ยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ส่งเสริมงานศึกษาและวิจัยด้านทรัพยากรป่าไม้และบริการจากระบบนิเวศป่าไม้ รวมถึงงานวิจัยต่อยอดผลิตภัณฑ์/ผลผลิตจากป่า ส่งเสริม และจัดตั้งเขตป่าอนุรักษ์ที่ร่วมดูแลโดยชุมชน เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าและร่วมอนุรักษ์ป่าได้ รวมถึงเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็งสร้างการท่องเที่ยวเชิงนิเวศชุมชนให้คนในพื้นที่ อยากฝากถึงรัฐมนตรีและข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่า เราควรคำนึงเสมอว่า “เราไม่ได้ต่อสู้กับชนชาติพันธุ์ที่อยู่ในป่ามาก่อน”
แท้จริงแล้วเราต้องรับรองสิทธิของเขา และส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้เขาเพื่อให้เขาช่วยดูแลรักษาป่า
ด้วยความเคารพในธรรมชาติและสิทธิมนุษยชน