จากการติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 19 รัฐมนตรีของพรรคฝ่ายค้าน ในสองวันแรก ผู้ที่สนใจการบ้านการเมืองน่าจะได้ความรู้หลายอย่าง ที่สำคัญสุด การอภิปรายต้องใช้วาทศิลป์ หรือสร้างวาทกรรมเพื่อเรียกความสนใจ แต่หลายคำเป็นเรื่องต้องห้ามอภิปราย เรื่องที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาดคือ ต้องประท้วงเป็นระยะๆ
มีเสียงวิจารณ์จาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลบางคน ว่าการอภิปรายวันแรกไม่สมราคาคุย เป็นการอภิปรายนายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาร้ายแรง เช่น บริหารประเทศล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ผิดพลาดบกพร่องร้ายแรง ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม แต่ที่ร้อนแรงที่สุดกลายเป็นการประท้วงของฝ่ายรัฐบาลที่น่าเอือมระอา
ก่อนที่การอภิปรายจะเปิดฉากขึ้น ฝ่ายรัฐบาลขอร้องผู้นำฝ่ายค้านในสภาให้ “อ่านข้าม” ญัตติที่พาดพิงสถาบัน นับเป็นเรื่องที่ประหลาดพิสดาร ไม่ทราบว่าจะมีที่ไหนหรือไม่ ในโลกประชาธิปไตย ผู้ประท้วงขู่จะล้มการอภิปรายของฝ่ายค้านด้วยการเสนอญัตติด่วน ให้ ส.ส.ลงมติเพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ญัตติถูกต้องหรือไม่
คำว่า “พระมหากษัตริย์” กลายเป็นคำต้องห้าม มิให้อภิปรายในสภา อาจกลายเป็นจารีตประเพณีใหม่ ผู้ใดเอ่ยคำดังกล่าวจะโดนประท้วงทันที มีการประท้วง มากที่สุดในวันแรก คือ การอภิปรายของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่พยายามโยงเรื่องบ่อนเถื่อน กับพรรคการเมืองบางพรรค
ส่วนการอภิปรายวันที่สอง เริ่มร้อนแรงมากขึ้น ทั้งด้านเนื้อหาและวาทกรรม เช่น การอภิปรายของ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย และนายวิโรจน์ ลักขณาดิศร จากพรรคก้าวไกล ส.ส.จิราพรสร้างวาทกรรมใหม่ “การยึดอำนาจและการสืบทอดอำนาจ คือความอัปยศ”
...
คล้ายกับจะเป็นการตอบคำถาม ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ชอบย้อนถามกลับว่า “ผมผิดอะไร” พร้อมทั้งอภิปรายกรณีเหมืองทองอัคราของบริษัทออสเตรเลีย ที่รัฐบาลไทยอาจเสียค่าโง่กว่า 25,000 ล้านบาท เพราะหัวหน้า คสช.ใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมือง ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย และมีสิทธิ์แพ้
หรือมิฉะนั้น ประเทศไทยก็อาจต้องยกพื้นที่หลายพันไร่ ให้ต่างชาติสำรวจและทำเหมือง ส่วนนายวิโรจน์อภิปรายปัญหาวัคซีน ด้วยวาทะที่ร้อนแรง จึงถูกรุมประท้วงเป็นระยะๆ และทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า คำกล่าวที่ว่า “เสพติดอำนาจ” เป็นเรื่องต้องห้ามพูดในสภา โดยเฉพาะ ส.ส.ผู้อ่อนอาวุโส.