นายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา รองเลขาธิการ และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ห่วง "บิ๊กตู่" พาเศรษฐกิจไทยลงเหว ชี้ ขาดประสิทธิภาพ แขวะ คิดและทำหลายอย่างพร้อมกันไม่เป็น แนะ เร่งดึงนักลงทุน ไต้หวัน-ญี่ปุ่น ที่ย้ายออกจากจีนมาไทย

วันที่ 3 ก.พ. นายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา รองเลขาธิการ และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกว่าจะขยายตัวได้ถึง 5.5% ในปีนี้ เศรษฐกิจอาเซียนจะขยายได้ 5.2% แต่ประเทศไทยจะขยายตัวได้เพียง 2.7% ซึ่งตำ่กว่าประมาณครึ่งหนึ่ง และยังมีแนวโน้มที่อาจจะขยายตัวได้ต่ำกว่านี้อีก หากรัฐบาลยังควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดไม่ได้ และความล่าช้าในการนำเข้าวัคซีนจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยล่าช้าต่อไปอีก ยิ่งรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพเท่าไร เศรษฐกิจไทยก็จะยิ่งฟื้นตัวช้าเท่านั้น

ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จะต้องฝึกการบริหารที่สามารถทำเรื่องหลายๆอย่างพร้อมกันให้ได้ ไม่ใช่ทำทีละอย่าง ถูกด่าถึงจะทำ อย่างที่เป็นอยู่ เพราะจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจ 19 เรื่อง ที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเสนอไว้ อะไรที่อ่านแล้วเข้าใจก็ควรเร่งทำ อะไรที่อ่านแล้วไม่เข้าใจก็หาคนที่มีความรู้ความสามารถมาอธิบายและให้เขาเข้ามาทำ การจะอาศัยคนที่ทำรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพียงแค่ 3 กิโลเมตร โดยหวังว่าเขาจะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนักได้ คงเป็นไปได้ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ปัจจุบันนี้ประชาชนแทบจะไม่ได้ยินเลยว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ทำอะไรบ้างที่จะฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะมีการพูดบ้างแต่ประชาชนไม่ได้ให้ความสนใจและไม่ได้มีความเชื่อถือแล้ว โดยเฉพาะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

...

ในภาวะที่ประเทศไทยต้องฟื้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน การที่จะต้องคิดล่วงหน้า มองสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปแล้วฉวยโอกาสให้ได้เป็นเรื่องที่จำเป็น ประเทศไทยมีปัญหาการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนเนื่องมาจากการปฏิวัติ การลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศจึงหายไปเกือบหมดมาตลอดหลายปี ดังนั้นในภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก การลงทุนของนักลงทุนไต้หวัน และนักลงทุนญี่ปุ่นที่ลงทุนในประเทศจีน กำลังย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนกันเป็นจำนวนมาก จากเหตุผลทางการเมืองและความไม่มั่นใจ ดังนั้นรัฐบาลไทยหากฉลาดพอจะต้องตั้งทีมเพื่อไปชักจูงให้นักลงทุนไต้หวัน และ ญี่ปุ่น ที่กำลังย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนกันเป็นจำนวนมากนี้ย้ายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

โดยต้องเสนอแรงจูงใจที่จะดึงพวกเขาเข้ามาลงทุนได้ เพราะมิเช่นนั้น เขาก็จะย้ายไปลงทุนในประเทศเวียดนามหมด เวียดนามก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไทยก็จะห่อเหี่ยวลงไปเรื่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่ ทั้งนี้เพราะความเก่งและความฉลาดของผู้นำของสองประเทศนี้ต่างกันอย่างมากนั่นเอง นอกจากนี้ฮ่องกงเองก็มีปัญหาอย่างมากกับจีน การดึงดูดเศรษฐีฮ่องกงให้มาลงทุน และย้ายมาอยู่ประเทศไทยก็เป็นเรื่องที่ควรคิดและทำเช่นกัน ซึ่งประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างมาก

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ยังทำงานอย่างล่าช้า ขนาดปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว สร้างความเดือดร้อนและทำลายสุขภาพของประชาชนอย่างมากในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดอยุธยา แต่ก็ยังไม่มีแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม รมว.อุตสาหกรรมก็เพิ่งจะตื่นและเพิ่งมาคิดติดเซนเซอร์คุมมลพิษแบบเรียลไทม์ ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตอนนี้ ซึ่งควรคิดได้มานานแล้ว นี่แหละคือปัญหาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่คิด และทำตามหลังมาตลอดไม่เคยคิดล่วงหน้าเลย

"ในภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ผันผวน และเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ประเทศไทยต้องการผู้นำที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นประเทศไทยจะตกยุคและเสียหายอย่างมากเหมือนที่เสียหายมาแล้วตลอด 6 ปีที่ผ่านมา และหากยังไม่มีผู้นำที่มีความฉลาดและทันโลกแล้ว เศรษฐกิจไทยคงเป็นหายนะแบบสโลโมชั่นไปอีก 10 ปี ตามการคาดการณ์ของสื่อหลักต่างประเทศอย่างแน่นอน" นายนพ กล่าว...