ต้องขอบคุณโควิด–19 อย่างน้อยที่ช่วยเปิดโปง เรื่องราวการทุจริตคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้าเมือง พร้อมการแพร่ระบาดรอบใหม่ รวมทั้งเรื่องบ่อนเถื่อน ที่ทำให้รัฐบาลสนใจ นายกรัฐมนตรีถึงกับ ตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 คณะ เพื่อตรวจสอบเรื่องอื้อฉาวและมีความคืบหน้า

กรณีแก๊งลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมือง ฝ่ายตำรวจตรวจสอบพบเฉพาะที่จังหวัดกาญจนบุรี มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกว่า 30 คน เป็นตำรวจน้อยใหญ่กว่า 20 คน ส่วนเรื่องบ่อนเถื่อน คณะกรรมการที่มีชื่อยาวเหยียดได้รับร้องเรียน 146 เรื่อง หรือ 146 บ่อน มีทั้งบ่อนใหญ่ บ่อนขนาดกลาง ภาคอีสานร้องเรียนมากสุด

สังคมไทยกลับมาโต้เถียงกันอีกครั้ง เรื่องที่ว่าประเทศไทยควรทำให้บ่อนการพนันถูกต้องตามกฎหมาย เหมือนกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศอื่นๆทั่วโลกหรือไม่ ผู้ที่ออกมาแสดงความเห็นส่วนใหญ่ สนับสนุนแนวความคิดที่บางคนเรียกว่า “บ่อนเสรี” ที่จริงไม่ใช่การให้เปิดบ่อนเสรี แต่จัดระเบียบให้ถูกกฎหมาย

สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันปล่อยให้บ่อนเถื่อนเกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมืองน่าจะเรียกว่า “บ่อนเสรี” มากกว่า เพราะเกิดขึ้นได้ตามใจ แต่ถ้าจัดระเบียบควบคุมให้ถูกต้อง อาจมีบ่อนทั้งประเทศเพียงแห่งเดียวหรือไม่กี่แห่ง น่าสังเกตว่าในการโต้เถียงกันรอบนี้ ไม่มีนักศีลธรรมจรรยาคนใดคัดค้านในแง่ที่ว่าผิดศีลธรรมชาวพุทธ

นักวิชาการบางคนเชื่อว่า แม้จะทำให้บ่อนถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่ไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาบ่อนเถื่อนได้ หมาย ความว่าจะยังมีการลักลอบเปิดบ่อนเถื่อนต่อไป ถ้ายังไม่ปฏิรูปตำรวจ ปัญหาก็คือจะปฏิรูปตำรวจอย่างไร ปฏิรูปตรงไหน จึงจะไม่มีใครกล้ารับส่วย และตั้งตัวเป็นผู้อุปถัมภ์เจ้าของบ่อน หากินโดยทุจริตสิ้นไป

...

การปฏิรูปตำรวจไม่มีทางทำได้สำเร็จ ถ้าการเมืองของประเทศยังไม่ปฏิรูป ยังเป็นการปกครองแบบเผด็จการบ้าง ประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง ไม่ยอมเป็นประ-ชาธิปไตยที่แท้ ไม่มีระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจที่เข้มแข็งมีประสิทธิภาพ และยังยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ เพื่อนพ้องน้องพี่ ไม่ยอมรับว่ามีบ่อนใน กทม.

แต่ในการถกเถียงกันเรื่องบ่อนการพนันรอบใหม่นี้ เริ่มมองเห็นแสงสว่างรำไร เพราะผู้แสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วย มีพรรคการเมืองอย่างน้อยหนึ่งพรรคคือ “พรรคกล้า” กล้าเห็นด้วย แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็แสดงความสนใจ ถ้ารัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวถูกด่า ควรให้ประชาชนตัดสินใจแทนด้วยประชามติ.