จุดเปลี่ยนการเมืองโลก 20 มกราคม 2564 เมื่อ “โจ ไบเดน” ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ “คาวบอยจอมซ่า” อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” กลายเป็นอดีตผู้นำ ระเห็จออกจากทำเนียบขาว

ท่ามกลางรอยร้าว ความแตกแยกหนักสุดในประวัติศาสตร์ชนชาติอเมริกัน

ตามฉากสถานการณ์แบบที่ “กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ” กว่า 2.5 หมื่นนาย กระจายกำลังคุ้มกันพื้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ป้องกันเหตุร้ายระหว่างการทำพิธีสำคัญ

หวั่นเหตุต่อเนื่องจากม็อบหนุน “ทรัมป์” บุกอาคารรัฐสภา

แต่ที่สุดก็ผ่านไปโดยไม่มีเหตุปั่นป่วนวุ่นวาย

และโดยบรรยากาศผ่อนคลาย ลดดีกรีความตึงเครียดลงระดับหนึ่ง เมื่อ “โจ ไบเดน” ประกาศสุนทรพจน์ในวันรับตำแหน่ง เรียกร้องความสามัคคีของคนในชาติ

ย้ำชัด การฟื้นฟูประเทศชาติต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากที่สุด

“เราต้องหยุดสงครามอนารยะที่คอยผลักแดงให้ปะทะกับน้ำเงินลงเสียที” ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯปักธงไปที่การเยียวยาความแตกแยกครั้งประวัติศาสตร์ในสังคมเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก

...

ยืนยันเป็นผู้นำของอเมริกันทุกคน ไม่แยกฝ่ายหนุน ไม่แบ่งฝ่ายต้าน

แม้จะปฏิบัติการลุย “ล้างบาง” ทันที ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินหน้าลงนามแก้ไขคำสั่ง หักลำนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ทันควัน ตั้งแต่นาทีแรกของวันรับตำแหน่ง

โละกันเห็นๆไม่น้อยกว่า 15 เรื่องสำคัญ

ทั้งการออกมาตรการบังคับประชาชนอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด–19

การนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลงปารีสหรือความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เคยประกาศถอนตัวออกไป

ยกเลิกคำสั่ง “ทรัมป์” ที่ลงนามห้ามพลเมืองจาก 6 ประเทศ ได้แก่ อิหร่าน ลิเบีย ซีเรีย โซมาเลีย ซูดาน และเยเมน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเดินทางเข้าสหรัฐฯ

รวมไปถึงการมุ่งเน้นกลับมารวมตัวกันของครอบครัวที่ชายแดนสหรัฐฯ–เม็กซิโก ที่ต้องพรากจากกันไปด้วยนโยบายของทรัมป์ สร้างกำแพงชายแดน

แต่ก็เป็นลักษณะของการแก้ไขความเสียหายจากมาตรการ “บ้าบิ่น”

เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์การบริหาร พร้อมขับเคลื่อนสหรัฐอเมริกาไปข้างหน้า

ตามอาการที่จับคำพูดได้ “โจ ไบเดน” ไม่มีการตำหนิฝ่ายสนับสนุน “โดนัลด์ ทรัมป์” เน้นย้ำแต่ผลประโยชน์ร่วมของชาติบ้านเมืองมาก่อนเป็นสำคัญ

บ่งบอกความตั้งใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปักหมุดสร้างความเป็นเอกภาพของ “อเมริกัน”

“สมานฉันท์” เริ่มที่สปิริตของคนเป็น “ผู้นำ”

หันกลับมาที่ประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์เทียบเคียงกับสหรัฐอเมริกา วิกฤติ “แตกแยก” รุนแรง ร้าวลึก กินเวลายาวนานกว่า 15–16 ปี

จากเหตุแก่งแย่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ชิงอำนาจทางการเมือง

แต่ต่างจากสหรัฐอเมริกา เมืองไทยเปลี่ยนผู้นำรอบแล้วรอบเล่าก็ยังไม่จบ แถมแนวโน้มมาถึงตรงนี้

ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม นอกจากไม่อยู่ในโหมด “สมานฉันท์”

ยังถลำเข้าสู่ศูนย์กลาง “หลุมดำ” ความขัดแย้งเต็มตัว

ศึกนอก-ศึกใน ชนวนระเบิดดักล้อมทุกทิศทุกทาง

ท่ามกลางมหาวิกฤติไวรัสมรณะโควิด–19 ภาวะความเป็นความตายของประชาชนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทั้งคนจนคนรวยต้องใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ผลจากความหย่อนยานของรัฐบาล ปล่อยขบวนการชั่วขนแรงงานเถื่อน บ่อนเถื่อน นำเชื้อกลับมาระบาดระลอกใหม่ คนไทยแบกรับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

ท้อแท้ หดหู่ หมดหวังกับชะตากรรมที่ต้องเผชิญวิบากไม่ต่างจาก “ห่าลง”

ปลงกับมาตรฐานผู้นำรัฐบาลทหารอาชีพที่หงุดหงิด หน้าบูดหน้าเบี้ยว เบี่ยงกระแสไปรายวัน จนกระดานเข้าก็ทำได้แค่ตั้งคณะกรรมการฯ ไล่เบี้ย บ่อนเถื่อน แรงงานเถื่อน ย้ายตำรวจ เซ่นข้าราชการ สังเวย

ลูบหน้าปะจมูก ไม่เคยจัดการ “ไอ้โม่ง” ตัวการใหญ่ได้

อารมณ์คนไทยชาชิน ตั้งหน้า ตั้งตาลุ้นความหวังสุดท้าย “วัคซีนโควิด”

ตามฉากผู้นำประเทศทั่วโลกโชว์สร้างความมั่นใจ ฉีดยาป้องกันโรคมรณะให้ประชาชนชาติเพื่อนบ้านในอาเซียนทั้งสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ขยับจับจองวัคซีนกันคึกคัก

แต่เมืองไทยชัดแค่รัฐบาลจะเริ่มฉีดวัคซีนโควิด “เข็มแรก” ในเดือนกุมภาพันธ์

นั่นไม่เท่ากับ “วัคซีนโควิด” กลายเป็นชนวนทางการเมือง

ตามท้องเรื่องที่ “ไพร่ห้าพันล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำคณะก้าวหน้า เปิดปฏิบัติแหย่ไฟ ตั้งคำถามถึงการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์กับบริษัทเอกชน “ผูกขาด” เพียงเจ้าเดียว

โยงปมคาบลูกคาบดอก เกี่ยวเนื่องถึงสถาบัน

กระตุกอาการเต้นเป็นเจ้าเข้า อารมณ์แบบที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข เทกแอ็กชัน ฟอร์มดุดัน สวนกลับนายธนาธรแรงๆ

บิดเบือน ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

อารมณ์เดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ขึ้นเสียงเข้ม โต้ผู้นำคณะก้าวหน้า บิดเบือนทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลย ดังนั้นขอให้ทุกคนระมัดระวังไว้ด้วยในการเสนอข่าวพวกนี้

กดปุ่มส่งสัญญาณ ไล่บี้ดำเนินคดี “ไพร่ห้าพันล้าน”

รัฐบาลดาหน้า ทั้งกระทรวงดิจิทัลฯ สำนักนายกรัฐมนตรี รับเป็น “เจ้าทุกข์” แจ้งความเอาผิดกับนายธนาธร ทั้งฐานละเมิดมาตรา 112 ฝืน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปยันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาฯ

ประเคนสารพัดข้อหา บ่งบอกความผิดฉกรรจ์

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สะทกสะท้าน นายธนาธรกับทีมงานพรรคก้าวไกลยังปักหลักสวนหมัด ยืนยันมีสิทธิ์ตั้งคำถามถึงงบประมาณในการจัดหาวัคซีนกว่า 4,000 ล้านบาท ที่เป็นภาษีของประชาชน สำคัญต่อชีวิต และเศรษฐกิจ อีกทั้งหลักการสำคัญในการบริหารจัดการวัคซีน คือ ความโปร่งใส และการกระจายความเสี่ยง

แดกดัน “บิ๊กตู่” โหนสถาบัน กลบเกลื่อนประสิทธิภาพรัฐ

สถานการณ์โควิดลามระลอกใหม่ เร่งอุณหภูมิเดือด เพิ่มเงื่อนไขประจันหน้าหักดิบระหว่างฝ่ายต่อต้านอำนาจ 3 ป. กับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

ยิ่งเลยจุดปรองดองไปไกล แตกแยกยากเกินเยียวยา

อาการติดเชื้อไวรัสมรณะยังขยายปมร้าวลึกแม้แต่ภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน

กับอาการทะแม่งๆของค่ายภูมิใจไทยที่เรียงหน้ากระดานแถลงข่าวใหญ่ จี้ให้ “บิ๊กตู่” ทบทวนวิธีการแจกเงินช่วยเหลือคนเดือดร้อนวิกฤติโควิด โครงการ “เราชนะ” อ้างการคัดกรองประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับสิทธิ์ เนื่องจากต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน

เหมือนจงใจ “ย้อนศร” นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ที่พูดชัด การแจกเงิน 3,500 บาท 2 เดือน ต้องจ่ายผ่านแอปฯเท่านั้น ส่วนคนไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เชื่อว่าจะเป็นส่วนน้อย เพราะตอนนี้ราคาไม่แพง

“ภูมิใจไทย” แสร้งตีเนียน กระแทกปากสายตรง “บิ๊กตู่” เลือดกบ

ตามเกมตื้นๆเหลี่ยมการเมืองชั้นอนุบาลที่อ่านไต๋กันง่ายๆ อาการแปร่งๆของทีมเซราะกราวเกิดในจังหวะที่กำลังเย่อปมต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เขี้ยวเกี่ยวกันระหว่าง “เสี่ยโอ๋” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

ยื้อเดิมพัน “ค่าตั๋ว” มหาศาล

ปรากฏการณ์ตอกย้ำรอยร้าว แตกลึกในทีมอำนาจรัฐบาล 3 ป.

แรงกระเพื่อมจากสนิมเนื้อในส่ออันตราย ตีคู่มากับแรงกระแทกจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

ยังไม่นับสถานการณ์แรงเสียดทานจากต่างประเทศ ตามสัญญาณแบบที่ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” เน้นคำว่า “ประชาธิปไตย” ในสุนทรพจน์ ย้ำแล้วย้ำอีก นับได้ 16 ครั้ง

สวนทางกับฉากการเมืองไทยที่ม็อบรุ่นใหม่โห่ไล่รัฐบาลทหารเฒ่าสืบทอดอำนาจ

ศึกนอก ศึกใน ปัจจัยด้านต่างประเทศ สารพัดโจทย์โคตรหิน

กดทับภูมิคุ้มกัน “บิ๊กตู่” ที่กำลังอยู่ในภาวะ “ขาลง”.

“ทีมการเมือง”