ยอดผู้ติดโควิดสะสมในเมืองไทย กระโจนพรวดจากห้าพันสองร้อยคน เป็นแปดพันสี่ร้อยคนในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ เพิ่มพรวดๆ เป็นไฟลามทุ่งอย่างน่าตกใจ “แม่ลูกจันทร์” ประเมินว่าถ้ายังตัดวงจรการแพร่ระบาดไม่สำเร็จก่อนสิ้นเดือนมกราคม จำนวนเตียงโรงพยาบาลที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอรองรับคนป่วยโควิดที่ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม 14 วันต่อผู้ป่วย 1 ราย
“โรงพยาบาลสนาม” เป็นประเด็นเร่งด่วนที่ “รัฐบาลลุงตู่” ต้องเตรียมแผนรับมือล่วงหน้าให้ถึงลูกถึงคน
เพราะถ้ารัฐบาลตัดสินใจไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์
ผู้ป่วยโควิดรายวันอาจเพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน
ต้องระดมหมอพยาบาลเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!!
ยาต้านไวรัสโควิด “ฟาวิพิราเวียร์” ที่สำรองไว้จะพอใช้ได้อีกนานแค่ไหน?
รีบเช็กสต๊อกล่วงหน้าให้ชัวร์
ถ้าไม่ชัวร์ต้องสั่งซื้อเพิ่มด่วนจี๋ภายใน 3 วัน 5 วัน!!
อย่างไรก็ดี “แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยที่รัฐบาลใช้มาตรการควบคุมโควิดระบาดจาก “เบา” ไปหา “หนัก” ตามสถานการณ์
เพราะถ้าใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มพิกัด จะเกิดผลกระทบเศรษฐกิจอย่างรุนแรงระดับวินาศสันตะโร
ขนาดมาตรการล่าสุด ห้ามลูกค้านั่งรับประทานอาหารในร้านตั้งแต่สามทุ่มถึงหกโมงเช้าเฉพาะพื้นที่ 50 เขต กทม.
ห้ามหมดตั้งแต่ร้านอาหารใหญ่ ร้านในศูนย์การค้า ร้านกาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง ร้านลาบส้มตำ ร้านอาหารตามสั่ง ร้านหมูกระทะ ฯลฯ ไปจนถึงร้านหาบเร่แผงลอยข้างถนนรนแคม

ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค มีโทษจำคุก 1 ปี!!
แม้มาตรการนี้จะเบากว่ามาตรการล็อกดาวน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ส่งผลกระทบผู้ที่มีสัมมาอาชีพขายอาหารช่วงกลางคืนหลายหมื่นรายใน กทม.
ถามว่า...มาตรการห้ามนั่งกินอาหารในร้านตั้งแต่สามทุ่มถึงหกโมงเช้าจะป้องกันโควิดแพร่ระบาดได้จริงหรือไม่??
“แม่ลูกจันทร์” มองว่าป้องกันโควิดได้พอเป็นกระสายยา
เพราะเมื่อถอดหน้ากากอนามัยกินอาหารในร้าน หรือมีการพูดคุยกันนานเกินกว่า 5 นาที
ถ้าในบริเวณนั้นดันมีเชื้อโควิดอยู่ในอากาศ
เชื้อโควิดอาจหลุดเข้าสู่ทางเดินหายใจ
คนที่รับเชื้อโควิดเข้าไปก็จะเอาโควิดไปแพร่กระจายติดคนใกล้ชิดอีกหลายสิบคน
การซื้ออาหารหิ้วกลับไปกินบ้านจึงปลอดภัยกว่าแน่นอน
แต่ความจริงคือความจริง การถอดหน้ากากอนามัยกินอาหารในร้านไม่ว่าเช้าสายบ่ายค่ำเกินกว่า 5 นาที
มีโอกาสเสี่ยงติดโควิดเท่าๆ กัน!!
แล้วเหตุใด กทม.จึงไม่ห้ามกินอาหารในร้านช่วงกลางวัน??
หรือช่วงกลางวันโควิดไม่ชุมเท่าช่วงกลางคืน??
"แม่ลูกจันทร์"