• ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป ปีหนู 2563 เป็นปีแห่ง"ม็อบคนรุ่นใหม่"ที่ใช้ชื่อว่า"ม็อบราษฎร" ที่ออกมาเรียกร้องการปฏิรูปซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่แหลมคมต่อสังคมไทยยิ่งนัก
  • สถานการณ์การเมืองตลอดปีที่เกิดขึ้นน่าสนใจมีการวิเคราะห์กันว่า มีจุดเริ่มต้นที่การยุบพรรคอนาคตใหม่ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้
  • แล้วจุดจบม็อบที่ตอนแรกเป็นการขับเคลื่อนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ชู 3 นิ้ว แต่พอนานไป ปฏิเสธไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันและตอนท้ายปียังชูประเด็นคอมมิวนิสต์ ค้อนและเคียว ทำให้อยากรู้ว่าปีหน้าจะจบอย่างไร 



เวลา 1 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ตลอดปีหนู(ชวด) 2563 นับเป็นปีแห่งการเมืองประเทศไทยที่ร้อนแรงอย่างแท้จริง หากนับตั้งแต่เหตุศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 21 ก.พ.2563 ก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ได้ทำให้กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงออกทางการเมือง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านการชุมนุมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน 

...

แม้ว่าการระบาดของเชื้อร้ายโควิด-19 จะทำให้การชุมนุมของกลุ่ม นร.-นศ. และประชาชน ต้องยุติลงช่วงระยะหนึ่ง ประมาณเดือน มี.ค.-มิ.ย. แต่พอสถานการณ์ไวรัสโคโรนาคลี่คลายลง รัฐบาลผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคลง การเคลื่อนไหวก็กลับมาอีกครั้ง

ประกอบกับ การหายตัวไปของ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ วัย 35 ปี จากบริเวณหน้าที่พักในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2563 ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ส่งผลต่อกระแสความไม่พอใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ รุนแรงยิ่งขึ้น จนทำให้เกิดการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ม็อบราษฎร" และที่สร้างความแปลกใจให้กับสังคมไทย คือข้อเรียกร้องที่กลุ่มม็อบระบุออกมา เรียกได้ว่าแหลมคมและน่าหวาดเสียวยิ่งนัก โดยเฉพาะ ข้อเรียกร้อง"ปฏิรูปสถาบัน" ที่บอกได้เลยว่าในชั่วชีวิตหลายคนไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  

ย้อนเหตุการณ์สำคัญในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนเรียกร้องประชาธิปไตย

4 มิ.ย. 2563 นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่เชื่อว่าเป็นแอดมินเพจ “กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ” ถูกอุ้มหายไปจากหน้าที่พักในกรุงพนมเปญ กัมพูชา

18 ก.ค. 2563 กลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” นัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยื่น 3 ข้อเรียกร้อง คือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยุบสภา หลังจากสมาชิกกลุ่ม “เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย” ถูกจับกุมขณะถือป้ายประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ จ.ระยอง

26 ก.ค. 2563 กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรม #วิ่งกันนะแฮมทาโร่ พากันวิ่งวนรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมกับร้องเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลงประกอบการ์ตูนญี่ปุ่น “แฮมทาโร่" เพื่อล้อเลียนรัฐบาลและ ส.ส. เนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า “วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่...ของอร่อยที่สุดก็คือ ภาษีประชาชน”

30 ก.ค. 2563 กลุ่ม “อาชีวะช่วยชาติ” นัดรวมพลที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่ออ่านแถลงการณ์โจมตีการชุมนุมของกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” ว่าเป็นไปเพื่อ “ท้าทาย ต่อต้าน หรือกระทั่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์...”

ถึงเดือน ส.ค. เปิดตัวม็อบ"คณะประชาชนปลดแอก" 

3 ส.ค. 2563 กลุ่ม “มหานครเพื่อประชาธิปไตย” และ “มอกะเสด” จัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในธีม “แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม้เท้าเสกคาถา ปกป้องประชาธิปไตย” นายอานนท์ นำภา ขึ้นปราศรัยในประเด็นการขยายพระราชอำนาจของสถาบัน และชูการปฏิรูปสถาบันฯ เป็นครั้งแรก

7 ส.ค. 2563 เปิดตัว “คณะประชาชนปลดแอก” เป็นการขยายแนวร่วมจาก “เยาวชนปลดแอก” 

10 ส.ค. 2563 “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” จัดการชุมนุมใช้ชื่อกิจกรรม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ไฮไลต์ที่เรียกเสียงฮือฮา การปราศรัยในครั้งนี้คือ การอ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสถาบัน

16 ส.ค. 2563 กลุ่ม “คณะประชาชนปลดแอก” จัดการชุมนุมครั้งใหญ่ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีผู้ร่วมชุมนุมเข้าร่วมจำนวนมาก ถือว่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่การรัฐประหาร คสช. โดยแกนนำย้ำ 3 ข้อเรียกร้อง 2 หลักการ และ 1 ความฝัน

17-18 ส.ค. 2563 เกิดปรากฏการณ์นักเรียนมัธยม “ชูสามนิ้ว” และติดโบขาวต้านเผด็จการ

19 ส.ค. 2563 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เปิดตัวกลุ่ม “ไทยภักดี” เป็นองค์กรกลางในการประสานงานผู้ปกป้องสถาบันฯ ก่อนจัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อเหลืองครั้งแรก 30 ส.ค. ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง กทม. ด้านกลุ่ม "นักเรียนเลว" เดินทางไป "ผูกโบขาว ชูสามนิ้ว เป่านกหวีดไล่รัฐมนตรี" ที่กระทรวงศึกษาธิการ

ข้ามมาถึง เดือน ก.ย. ม็อบนัดชุมนุมใหญ่ ฝังหมุดคณะราษฎร กลางสนามหลวง

19-20 ก.ย. 2563 “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” จัดกิจกรรม "19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร" ที่สนามหลวง เป็นครั้งแรกที่ปักหลักค้างคืน เช้า 20 ก.ย. ผู้ชุมนุมร่วมทำพิธี “ฝังหมุดคณะราษฎร 2563” และเคลื่อนขบวนไปยื่นจดหมายถึงองคมนตรี เรียกร้องการปฏิรูปสถาบัน แต่ถูกตำรวจสกัดไว้ จึงยื่นผ่าน ผบช.น. แทน

22 ก.ย. 2563 ประชาชน นำโดยกลุ่ม “ไอลอว์” เดินจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเตาปูนไปรัฐสภา เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พร้อมแนบรายชื่อประชาชนกว่าแสนรายชื่อ

24 ก.ย. 2563 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีมติ 432 ต่อ 255 เสียง ให้ตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ 30 วัน ขณะที่นอกรัฐสภา “คณะประชาชนปลดแอก” และ "กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย" ชุมนุมในชื่อกิจกรรม “ไปสภาไล่ขี้ข้าศักดินา”

เข้าสู่ เดือน ต.ค.หลายฝ่ายจับตา หวั่น กลายเป็นเดือนวิปโยค ทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน-สลายชุมนุมแยกปทุมวัน

13 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร 2563” ซึ่งเดินทางมาร่วมชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ชุมนุมสาดสีน้ำเงินใส่ตำรวจ ก่อนที่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่" และผู้ชุมนุมอีกนับสิบคน จะถูกตำรวจควบคุมตัวไป

14 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร 2563” ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มต่างๆ เช่น แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, เยาวชนปลดแอก, กลุ่มดาวดิน และกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย จัดการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนขบวนไปปักหลักค้างคืนที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้นายกฯลาออก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบัน

15 ต.ค. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เปิดทางให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมที่ทำเนียบช่วงเช้ามืด แกนนำ 3 คน คือ นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ถูกจับกุม 

16 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร” นัดชุมนุมที่แยกปทุมวัน ตำรวจใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ยุติการชุมนุม แต่ไม่เป็นผล จนตำรวจเริ่มฉีดน้ำแรงดันสูงใส่ผู้ชุมนุม และกระชับพื้นที่ด้าน ถ.พระราม 1 และ ถ.พญาไท จนสลายการชุมนุมและยึดพื้นที่แยกปทุมวันได้สำเร็จ 

17 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร 2563” เปลี่ยนชื่อมาเป็น "กลุ่มราษฎร" เพื่อสะท้อนการชุมนุมแบบ "ทุกคนคือแกนนำ" จัดแฟลชม็อบหลายจุดใน กทม. และต่างจังหวัด ใน กทม. มี 3 จุดหลัก คือ ห้าแยกลาดพร้าว อุดมสุข และวงเวียนใหญ่

18 ต.ค.2563 แฟลชม็อบในกรุงเทพฯ เป็นวันที่สอง โดยมีจุดหลักอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และแยกอโศก การชุมนุมแบบไร้แกนนำมีรูปแบบและการจัดการที่ชัดเจนขึ้น เช่น การสื่อสารด้วยภาษามือ การป้องปากบอกต่อ การสวมชุดสีดำ การใช้แอปพลิเคชันเทเลแกรมในการแจ้งข่าวสาร

19 ต.ค. 2563 นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลสนับสนุนให้เปิดการประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกให้ประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ช่วงเย็นกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” นัดแฟลชม็อบ 3 จุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ แยกเกษตรฯ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (เอ็มอาร์ที) กระทรวงสาธารณสุข

21 ต.ค. 2563 กลุ่ม “ราษฎร” รวมตัวที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 16.00 น. ก่อนเคลื่อนขบวนไปทำเนียบฯ เพื่อนำ "จดหมายลาออก" ไปยื่นให้นายกฯลงนาม ขีดเส้นตายให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกและปล่อยผู้ชุมนุมภายใน 3 วัน โดยน้องมายด์ ภัทราวลี แจ้งเกิด เนื่องจากเป็นผู้อ่านเนื้อหาในจดหมายฉบับดังกล่าว ขณะเวลา 19.00 น. นายกฯ แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เรียกร้องให้ทุกฝ่าย "ถอยคนละก้าว"

24 ต.ค. 2563 “ไผ่ ดาวดิน” ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อ 23 ต.ค. หลังจากถูกคุมขังมานาน 10 วัน ประกาศนัดชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เย็นวันที่ 25 ต.ค. เพื่อแสดงท่าทีต่อการที่นายกฯไม่ลาออกภายในเส้นตาย 3 วัน ที่กลุ่ม “ราษฎร” กำหนด

26 ต.ค. 2563 วันแรกของการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อหาทางออกให้ประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญ ด้านกลุ่มปกป้องสถาบันฯ และกลุ่ม “ราษฎร” เดินทางไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตเยอรมนีคนละช่วงเวลา และยื่นจดหมายต่อเอกอัครราชทูต

27 ต.ค. 2563 มวลชนเสื้อเหลืองหลายกลุ่มแสดงพลังปกป้องสถาบัน ช่วงเช้า “อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี” รวมตัวที่สถานทูตสหรัฐฯ เรียกร้องให้สหรัฐฯ “เคารพในกิจการภายในของประเทศไทย” เพราะเชื่อว่ามีต่างประเทศอยู่เบื้องหลังการโจมตีสถาบัน ช่วงเย็นกลุ่มเสื้อเหลือง นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และอดีตแกนนำ กปปส.บางคน รวมตัวที่สวนลุมพินี

สู่เดือนพ.ย.ม็อบราษฎร ขู่ ล้อมทำเนียบฯ ลงท้ายสภาผ่านร่างแก้ไข รธน.2 ฉบับ ส่วนอีก5 ตก รวมถึงฉบับไอลอว์

17 พ.ย. 2563 “ม็อบราษฎร” นัดชุมนุมใหญ่ล้อมสภา กดดัน กรณีสภาพิจารณาผ่านร่างแก้ไข รธน.7 ฉบับ สุดท้ายม็อบก็ไม่ได้มาปิดล้อมในวันดังกล่าว

18 พ.ย. 2563 สภามีมติ รับหลักการวาระ 1 ผ่านร่างแก้ไข รธน.2 ฉบับ ส่วนอีก 5 ฉบับตก รวมถึงฉบับ “ไอลอว์” พร้อมตั้ง กมธ. 45 คน

25 พ.ย. 2563 ม็อบประกาศมี “บิ๊กเซอร์ไพร์ส” ชุมนุมที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ พหลโยธิน เมื่อเวลา 21.00 น. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำคณะราษฎร ประกาศว่ายุติชุมนุมวันนี้ แล้วให้รอนัดหมายใหม่ในครั้งหน้า

27 พ.ย. 2563 ม็อบราษฎรนัดชุมนุมใหญ่ เคลื่อนขบวนมาห้าแยกลาดพร้าว ลั่น ทำกิจกรรม ซ้อมต้านรัฐประหาร

ส่งท้ายเดือน ธค.ผู้ชุมนุม พยายามใช้เรื่องศาลรธน.นัดวินิจฉัย ปม"บ้านพักทหารของบิ๊กตู่" กับ "ยกเลิกม.112" เป็นหัวเชื้อ ท่ามกลางกระแสม็อบแผ่ว 

2 ธ.ค. 2563 ม็อบราษฎร ประกาศชุมนุมใหญ่ 5 แยกลาดพร้าว ก่อนศาล รธน.มีคำวินิจฉัย คดีอยู่บ้านพักหลวงของกองทัพบก ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิด สามารถทำได้

10 ธ.ค. 2563 ซึ่งเป็น วันรัฐธรรมนูญ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรม “ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง” ซึ่งเป็นการนัดชุมนุมใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งต้องยอมรับว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

โดยหลังจากนั้น แกนนำม็อบทั้งหลายก็ต้องเดินสายรับทราบข้อกล่าวหาในอีกหลายคดี โดยเฉพาะข้อหาผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเหล่าแกนนำโดนแจ้งข้อหารวมกว่า 170 คดี และยังมีเพิ่มมากขึ้น

งานนี้คงต้องรอดูว่า จากท้ายปีโควิด-19 ระบาดหนัก หนู(ชวด) 2563 ถึงปีหน้าฟ้าใหม่ ขึ้นปีวัว(ฉลู) 2564 เหล่า"ม็อบราษฎร" จะยังกลับมาชุมนุมคึกคักได้อีก หรือม็อบจะอ่อนกำลังลง อย่างที่นักวิเคราะห์การเมืองหลายคนคาดการณ์เอาไว้หรือไม่ 

แล้วยังน่าคิดอีกว่า ถ้าปีหน้า 2564 ม็อบ กลับมาชุมนุมแน่ จะยังสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนกับ"รัฐบาลบิ๊กตู่" ผู้กุมบังเหียนการเมืองอีกหรือเปล่า งานนี้อีกไม่กี่วัน เดี๋ยวก็รู้

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า 1 ม.ค. 2564 ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว.

ผู้เขียน:เดชจิวยี่

กราฟิก:Varanya Phae-araya