การแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้จะผ่านมานานแรมปี และผ่านความเห็นชอบของ 2 สภาเรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาไม่จบสิ้น ทั้งปัญหาที่มีอยู่แล้วตามปกติ และประเด็นที่คนสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร.ขัดต่อรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ จะได้เลิกล้มการแก้ไขเสียที

รวมทั้งปัญหาที่ว่าการแก้ไข ครั้งนี้จะต้องทำประชามติกี่หน สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 200 คน จะมาจากเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด หรือจะมาจากการแต่งตั้งบางส่วน ทั้งสองอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ฝ่ายรัฐบาลเสนอให้มาจากเลือกตั้ง 150 คน จากการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 50 คน ฝ่ายค้านให้เลือกตั้งทั้งหมด

ฝ่ายรัฐบาลค้านว่าถ้าเลือกตั้งทั้งหมดจะกลายเป็น “สภาผัวเมีย” ผัวเป็น ส.ส. เมียเป็น ส.ส.ร. เพราะการเลือกตั้งระดับจังหวัด ต้องใช้คะแนนเสียงเหมือนกับเลือกตั้ง ส.ส. ฝ่ายค้านอาจโต้กลับว่าถ้าให้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 40 คน เลือกจากตัวแทนเยาวชนอีก 10 คน อะไรจะเกิดขึ้นถ้า “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ล้วนแต่ “ระดับเนติบริกร”

ผู้ทรงคุณวุฒิ 40 คน จะสามารถครอบงำการร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตัวแทนของผู้ชุมนุมจะรู้สึกอย่างไรที่ข้อเสนอของพวกตนถูกตีตกหมด ส.ส.ร.จะวงแตกหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นยังมีการปล่อยข่าว อ้างว่า ผู้มีอำนาจส่งสัญญาณ “ไม่ต้องแก้ไขแล้ว” และยังมีปัญหาว่า ในวาระสุดท้ายจะตัดสิน กันด้วยคะแนนเสียงเท่าใด

แม้แต่กรรมาธิการ (กมธ.) จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ริเริ่มเสนอแก้ไขมาตรา 256 เพื่อแก้วิธีการแก้ไข เปิดทาง ไปสู่การแก้มาตราอื่นๆให้ง่ายขึ้น แต่ขณะนี้ยืนยันว่าต้องการให้แก้ไขยาก โดยใช้ คะแนนเสียง 3 ใน 5 หรือกว่า 450 เสียง ขึ้นไป ขณะที่ กมธ.พรรคแกนนำรัฐบาลต้องการเสียงถึง 2 ใน 3 กว่า 500 เสียงขึ้นไป

...

มีคำถามว่า ถ้าอยากให้แก้ไขยาก จะมาเสียเวลาเถียงกันเรื่องการแก้ไขม.256 ทำไม เพราะ ม.256 แก้ยากมหา โหดอยู่แล้ว เพราะผู้ร่างไม่ต้องการให้แก้ไข ต้องการใช้ ม.256 กับ 250 ส.ว. สืบทอดอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้ 2 สมัย รวม 8 ปี ถึงวันนี้มีบางองค์กรถาม จะแก้รัฐธรรมนูญจริงหรือ

จากการวิเคราะห์ขององค์กรดังกล่าว ฟันธงว่า ถ้าการแก้ไขเป็นไปตามไทม์ไลน์ขณะนี้ จะเสร็จสิ้นบริบูรณ์ในต้นปี 2566 ปีที่รัฐบาลปัจจุบันครบวาระ ถึงตรงนั้นถ้าแก้ไขยังไม่เสร็จ ก็ต้องเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญเดิม ให้ 250 ส.ว. มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ.