วันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็น “วันรัฐธรรมนูญ” เห็นได้ชัดว่า แม้แต่เยาวชนรุ่นใหม่ก็ถือเป็นวันสำคัญ จึงนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ส่วนคนไทยทั่วๆไปอาจเห็นว่าเป็นวันหยุดราชการอีกวันหนึ่ง แต่รัฐบาลที่สืบทอดมาจากคณะราษฎร ผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นวันที่สำคัญยิ่ง มีงานมหกรรมฉลองกันทุกปี

สถาบันหลักของประเทศในขณะนั้น ได้แก่ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ” คำว่า “รัฐธรรมนูญ” ถูกฉีกทิ้งไปในยุคเผด็จการเต็มใบ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา ในช่วงที่ประเทศไทยไม่มี “รัฐธรรมนูญ” แท้ มีแต่ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร 2502” มีเพียง 20 มาตรา ไม่มีสภา ไม่มีเลือกตั้ง แต่มีรัฐเผด็จการ

แต่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ก็ถือว่าธรรมนูญการปกครองฉบับนั้นเป็น รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 ของประเทศ นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองกว่า 88 ปี ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ มีทั้งประชาธิปไตยและเผด็จการ แต่ส่วนใหญ่เป็น “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” เป็นการปกครองของรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ

มีรัฐธรรมนูญที่นักรัฐศาสตร์ยอมรับว่าเป็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ” เพียง 3–4 ฉบับ ได้แก่รัฐธรรมนูญ 2492 ฉบับแรกที่จัดทำโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ตามด้วยฉบับ 2517 ที่เป็น ผลของการลุกขึ้นต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศ และรัฐธรรมนูญ 2540 ฉบับปฏิรูปการเมือง

อีกฉบับหนึ่งก็ควรถือว่าเป็น “ประชาธิปไตย” คือฉบับ 2550 แม้จะมีต้นตอมาจากคณะรัฐประหาร คมช. เมื่อปี 2549 แต่เนื้อหาส่วนใหญ่คล้ายกับฉบับ 2540 เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดย ส.ส.ร. และผ่านประชามติคนไทยทั้งประเทศ เพราะ คมช.ไม่มีใบสั่งใช้รัฐธรรมนูญกับ ส.ว. เพื่อสืบทอดอำนาจ

...

รัฐธรรมนูญไทยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 4 ปี เป็นกฎหมายสูงสุดที่อายุสั้นมาก เปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ใน 200 กว่าปี มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ไม่มีการฉีกทิ้ง มีแต่การแก้ไขถึง 27 ครั้ง ตรงกันข้ามกับการเมืองไทย มีการสืบทอด ประเพณี “ฉีกทิ้ง” รัฐธรรมนูญมาสิบกว่าครั้ง ไม่ส่งเสริมการแก้ไข

ชัดเจนที่สุดคือ รัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากทุกสารทิศให้แก้ไขด่วน ให้เป็นประชาธิปไตย ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ ทั้งยังเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และรัฐบาลก็คุมเสียงข้างมาก แต่กลับสร้างปัญหาใหม่ให้แก้ยากยิ่งขึ้น โดยตั้งกติกาใหม่ ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 แทนที่จะเป็นเสียงข้างมากเหมือนฉบับก่อนๆ.