“พล.อ.ประยุทธ์” กำชับคุมเข้มป้องกันโควิด-19 พร้อมสร้างความเชื่อมั่นประชาชนท่องเที่ยวช่วงปลายปี ด้าน “อนุทิน - พิพัฒน์” เตรียมไปเชียงราย 8 ธ.ค. ติดตามสถานการณ์หลังพบผู้ติดเชื้อ
วันที่ 6 ธ.ค. 2563 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มมาตรการการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย หลังได้รับรายงานการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยขอให้ทุกภาคส่วนคุมเข้มในมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าเมือง ติดตามตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และย้ำถึงมาตรการเพื่อเฝ้าระวังคนกลุ่มเสี่ยงสัมผัส ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการวางแผนเดินทางท่องเที่ยว ทั้งช่วงหยุดยาวระหว่างวันที่ 10-13 ธ.ค. 2563 เทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ โดยคาดหวังให้ประชาชนท่องเที่ยวด้วยความสบายใจ ปลอดภัยจากโรคระบาด

...
น.ส.ไตรศุลี กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เตรียมลงพื้นที่ จ.เชียงราย ในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ เพื่อติดตามสถานการณ์ภายหลังพบผู้ติดเชื้อในประเทศ โดยจะเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค อ.แม่สาย และ ด่านพรมแดน อ.แม่สาย สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 รวมถึงตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของ Local Quarantine ที่โรงแรมแม่โขงเดลต้า ก่อนไปยังตลาดสดบ้านดู่ ซึ่งนอกจากเพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชนแล้ว ยังเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักในเวลานี้ด้วย

“นายกรัฐมนตรี เป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และขอบคุณในความเสียสละของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยวปลายปี โดยรัฐบาลเชื่อมั่นในมาตรการการเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ของประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือประชาชนว่าการ์ดอย่าตก การใช้ชีวิตประจำวันยังต้องสวมใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เช่นเดียวกับสถานประกอบการต่างๆ ต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการเอง”