สมาชิกวุฒิสภา "สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์" เสนอแนะให้ไทยเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร ชี้เป็นผลดีกับเศรษฐกิจไทย

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ได้อภิปรายระหว่างการประชุมรัฐสภาเห็นด้วยกับร่างความตกลงจัดสรรปริมาณสินค้าโควตาภาษีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป หรือ อียู กับหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร พร้อมเสนอแนะประเทศไทยเร่งเจรจากรอบการค้าเสรีให้เร็วขึ้น

นายสถิตย์ อภิปรายตอนหนึ่งว่า เห็นด้วยกับร่างความตกลงและร่างหนังสือแลกเปลี่ยน รวม 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ร่างความตกลงระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทยตามมาตรา 28 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (แกตต์) 1994 ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขข้อผูกพันสำหรับสินค้าอันมีโควตาภาษีในตารางข้อผูกพันสหภาพยุโรป อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร 2. ร่างหนังสือจากรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรถึงรัฐบาลแห่งประเทศไทย และ 3. ร่างหนังสือจากรัฐบาลแห่งประเทศไทยถึงรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรที่คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้ ความตกลงจัดสรรปริมาณสินค้าโควตาภาษีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปกับหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้าและการลงทุนในระดับกว้างจึงจำเป็นต้องนำเสนอต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งตนขอสนับสนุนร่างความตกลงและหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว โดยมีเหตุผล ดังนี้

1. เป็นการรักษาสิทธิประโยชน์ของประเทศไทยไม่ให้ด้อยไปกว่าเดิม แต่เดิมเป็นความตกลงระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป 28 ประเทศ และเมื่อสหราชอาณาจักรได้แยกตัวออกมาทำให้ประเทศไทยได้มีหนังสือแลกเปลี่ยนกับสหราชอาณาจักรต่างหาก เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ไว้ นอกจากนั้น ตามที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงได้มีการเจรจาเนื้อหาในรายละเอียด โดยแยกประเภทสินค้าที่ได้ประโยชน์เพิ่มเติม เนื่องจากสินค้าบางประเภทถูกส่งไปยังสหราชอาณาจักรมากกว่าแต่เดิมที่รวมอยู่ในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อไทยมากขึ้น

...

2. เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ ซึ่งก่อนการเจรจามีการหารือกับผู้ประกอบการ และผลเป็นไปตามที่ประเทศไทยเสนอ โดยยึดถือสถิติผลการค้าระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปย้อนหลัง 3 ปี
เพื่อนำมาประกอบการหารือ โดยหลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบผู้ประกอบการจะได้เตรียมวางแผนการส่งออก ซึ่งจะมีผลบังคับในวันที่ 1 ม.ค. 2564

3. เป็นการรักษามาตรฐานในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อันส่งผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร ซึ่งแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

นายสถิตย์ กล่าวต่อว่า กรอบการเจรจาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยข้อเท็จจริงประเทศในอาเซียน เวียดนามและสิงคโปร์ได้ทำการตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปแล้ว ปรากฏว่าประเทศไทยเคยเจรจาการค้าเสรีมาระยะหนึ่ง แต่สะดุดลง จึงขอเสนอให้ทำอย่างต่อเนื่อง และเร่งเจรจากรอบการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรปให้เร็วขึ้น ควบคู่กับการเจรจาการค้าเสรีกับสหราชอาณาจักร เพื่อทำให้เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นผลดีกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศของประเทศไทยโดยรวมมากยิ่งขึ้น.