นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจลุ้นระทึกในวันที่ 2 ธันวาคม เพื่อรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะให้ตนอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือให้พ้นตำแหน่ง กรณีที่ถูกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมครอบครัว ยังพักอยู่ในบ้านพักทหาร แม้จะเกษียณราชการมาแล้วหลายปี
ผู้ร้องถือว่าเป็นการกระทำ อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์ทับซ้อน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 ที่ห้ามรัฐมนตรีไม่ให้รับเงิน หรือประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการ หรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีเคยชี้แจงว่า เหตุที่ไม่ใช้บ้านพักนายกรัฐมนตรี เพราะกำลังซ่อมแซมอยู่
ต่อมามีคำชี้แจงจากนายกรัฐมนตรีว่า ได้รับคำแนะนำจากทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัย ว่าบ้านพักทหารที่พักอยู่ มีความสะดวกในการดูแลความปลอดภัย และอ้างระเบียบของกองทัพบก เกี่ยวกับสวัสดิการบ้านพักระบุว่าผู้ที่จะอยู่ในบ้านพักได้ จะต้องเคยเป็น ผบ.ทบ. ที่ได้ทำคุณประโยชน์แก่กองทัพและประเทศชาติ
คำร้องในลักษณะนี้ เคยทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ต้องพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว เป็นการร้องตามรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีบทบัญญัติห้ามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี มิให้ดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่แสวงกำไรเพื่อแบ่งปันกันรวมทั้ง “ห้ามเป็นลูกจ้างของเอกชนใด” เพราะนายกรัฐมนตรีมีเกียรติและศักดิ์ศรี
กรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น ถูกร้อง คือการจัดรายการชิมอาหารทางโทรทัศน์ ไม่เกี่ยวกับการเมืองใดๆ เป็นรายการชิมอาหารโดยแท้ และเป็นรายการที่ได้รับความนิยมว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ จากห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเจ้าของรายการ นายกรัฐมนตรีถูกมองว่าเป็น “ลูกจ้างของเอกชน”
...
ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ระเบียบบ้านพักสวัสดิการของกองทัพบก ที่อ้างถึงไม่ทราบว่าเป็นระเบียบเก่าที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นระเบียบที่ออกใหม่ หลังจากนายกรัฐมนตรีถูกร้องและเป็นระเบียบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะวินิจฉัยด้วยความเป็นกลางทางการเมือง และตามหลักนิติธรรม
เรื่องนี้อาจกระทบทางการเมืองรุนแรงถ้านายกรัฐมนตรีถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และดำเนินการให้มีนายกรัฐมนตรีใหม่ เพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ให้บริหารประเทศ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการเมืองไทย เพราะการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีต่างจากประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ.